ทำไมพระอาทิตย์จึงสีแดง ตอนกำลังขึ้นและใกล้ตก

ดวงตะวันสีแดงยามรุ่งอรุณ หรือตอนเย็น เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจ โรแมนติก เหมาะใช้เป็นฉากจบของหนังรัก เรื่องนี้ธรรมชาติก็ทำมาราวกับรู้ใจพวกเรา

ดวงอาทิตย์ใช้เวลาเกือบตลอดเวลาอยู่สูงในท้องฟ้า แสงอาทิตย์ใช้เส้นทางฝ่าบรรยากาศโลกมาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตอนพระอาทิตย์อยู่ขอบฟ้า แสงจากขอบฟ้าเดินทางฝ่าบรรยากาศในแนวราบมาไกลกว่าจะถึงตัวเรา ผลก็คือ บรรยากาศจะช่วยจัดการกระจายแสงสีโทนอื่น ๆ ออกไปเสียเกือบหมด จะมีก็แสงสีแดงที่ไม่ค่อยโดยปัดออกไป เราจึงเห็นแสงสีแดงมากที่สุด ดวงอาทิตย์ก็เลยกลายเป็นสีแดงไปด้วยนั่นเอง

ทำไมวัวต้องสำรอกหญ้ามาเคี้ยวซ้ำ

ถ้าเราสังเกตวัว ควาย จะเห็นว่า มันจะเล็มหญ้าไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไปนอนใต้ต้นไม้ สำรอกเอาของที่มันกินเข้าไปมาเคี้ยวซ้ำ (แหวะ!) ไม่เหมือนกับคนที่เคี้ยวครั้งเดียว กลืนแล้วกลืนเลย ซึ่งบรรดาวัวทั้งหลายก็มีเหตุผลของมัน

เมื่อวัวกินหญ้า มันจะกลืนกระจุกหญ้าที่มันเล้มขึ้นมาลงไปในท้องทีเดียวทั้งกระจุกโดยไม่เคี้ยว หญ้านี้จะลงไปอยู่ในกระเพาะส่วนที่หนึ่งของมัน (วัวมีกระเพาะ 4 ส่วน หรือ 4 กระเพาะ) หญ้าจะโดนย่อยในขั้นต้นให้นุ่มขึ้น หลังจากนั้นวัวก็จะสำรอกเอาหญ้าที่ย่อยขั้นต้นนี้ออกมาค่อย ๆ เคี้ยวอีกทีหนึ่ง เพื่อย่อยให้หญ้าเล็กลงไป

ระบบกินอาหารของวัวแบบนี้มีข้อดีก็คือ มันสามารถกินไปเดินไปเรื่อย ๆ แล้วจึงค่อยไปหาจุดที่เหมาะ ๆ เพื่อทำการย่อยอาหารจริง ๆ ทำให้มันสามารถหนีจากสัตว์ผู้ล่าอย่างเสือ ในบริเวณอันตรายที่มีอาหารอยู่ แล้วไปย่อยอาหารในที่ซึ่งปลอดภัยกว่า เรื่องก็เป็นเช่นนี้แหละ

ทำไมยาบางตัวถึงมีแอลกอฮอล์ด้วย

แอลกอฮอล์ที่ใส่ลงไปในยา ไม่ได้ช่วยให้คุณลืมอาการไม่สบาย หรือปกปิดรสชาติไม่เอาไหนของยาแก้ไอ ที่สำคัญ แอลกอฮอล์ในยาก็มีในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจทำอะไรตามนั้นได้ แอลกอฮอล์ในยาก็ไม่ได้ช่วยให้คุณหลับด้วย

เหตุผลจริง ๆ ของการใส่แอลกอฮอล์ลงในยาก็คือ ยาบางชนิดไม่ค่อยจะผสมได้ดีกับน้ำ แอลกอฮอล์จึงเป็นตัวเลือกตัวถัดมา แต่ก็ไม่ต้องห่วงว่าคุณจะเมาค้างเมื่อทานยาแก้ไข้แก้หวัด ปริมาณแอลกอฮอล์ที่อนุญาตให้ใช้ในยามีไม่มากพอที่จะไปกระทบอะไรกับคนทั่วไปแน่นอน

ไม้ดอกเริ่มปรากฏครั้งแรกเมื่อใด

ไม้ดอกต้นแรกรูปร่างไม่ได้คล้ายกับไม้ดอกทุกวันนี้ การค้นพบล่าสุดของดอกไม้โบราณแสดงว่ารูปร่างของมันเป็นลำต้นตรงคู่กันที่คล้ายกับฝักถั่ว ฟอสซิสนี้มีอายุ 142 ล้านปี เป็นการผลักดันจุดกำเนิดของไม้ดอกย้อนกลับไปจากที่เคยคิด 12 ล้านปี ไปตกอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์มีขนแบบขนนกตัวแรก ไม้ดอกจริง ๆ กำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีหลากหลาย และกระจายไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเชื่อว่า ดอกไม้สวย ๆ ที่เราเห็นทุกวันนี้ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นนอย่างน้อยก็ 70 ล้านปีที่แล้ว อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.abcnews.com/sections/science/DailyNews/flower981126.html

นาฬิการเรือนใดออกแบบมาให้ทำงานได้ 10,000 ปี

Millenium Clock เป็นจักรกลที่ออกแบบมาให้ทำงานบอกเวลาได้เที่ยงตรงถึง 10,000 ปี การจะทำเช่นนี้ได้โดยกลไกไม่พังไปเสียก่อนนั้น จะต้องใช้ชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ประกอบกันขึ้นอย่างไม่ธรรมดา นาฬิกาเรือนนี้เป็นงานส่วนหนึ่งของ Long Now Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่อุทิศให้กับการช่วยให้ผู้คนตระหนักถึง"เวลาที่ล้ำลึก" ซึ่งก็คือช่วงหมื่นปี แทนที่จะนึกแค่เมื่อวาน วันนี้ หรือพรุ่งนี้ เมื่อหมื่นปีก่อน เป็นช่วงสิ้นสุดยุคน้ำแข็งและมนุษย์ก็เริ่มต้นเรียนรู้ที่จะปลูกพืช และในหมื่นปีถัดจากนี้ไป ถ้า Long Now Foundation ทำสำเร็จ Millenium Clock เรือนนี้ก็จะยังคงบอกเวลาได้ถูกต้องแม่นยำเหมือนเดิม อ่านเรื่องเพิ่มเติมของนาฬิการเรือนนี้ได้ที่
http://www.longnow.org/clock/clock.html

ใครสร้างเรือดำน้าทำด้วยคอนกรีต

นักออกแบบเรือดำน้ำชาวรัสเซียกำลังสร้างเรือดำน้ำทางทหารขึ้นจากคอนกรีต เขาบอกว่ามันจะใช้เงินเท่ากันและแก้ปัญหาหลายอย่างที่มีในเรือดำน้ำที่ทำจากเหล็ก เนื่องจากคอนกรีตจะยิ่งแข็งแรงภายใต้ความกดดันสูง เรือดำน้ำคอนกรีต(ในชื่อ C-subs)จึงสามารถลงไปจอดถึงก้นทะล รอให้เรือข้าศึกผ่านไปได้ คอนกรีตยังตรวจจับด้วยโซนาร์ไม่ได้อีกด้วย เพราะจะทำให้ดูเหมือนทรายหรือก้อนหิน ดังนั้นเรือที่ผ่านไปจึงมองไม่เห็นเรือดำน้ำคอนกรีต ผู้เชี่ยวชาญทางทหารของสหรัฐฯและอังกฤษให้ข้อคิดเห็นว่า ประเทศที่ยากจนอาจใช้ C-subs ในการปิดล้อมท่าเรือ หรือใช้ลอบเข้าไปทำลายเป้าหมายทางทหารก็เป็นได้ เรื่องราวเกี่ยวกับ C-subs หาอ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://popularmechanics.com/popmech/sci/9812STMIP.html

น้ำหนักของเราจะเป็นเท่าไรที่ใจกลางโลก

เราอาจจะสันนิษฐานว่า ยิ่งเราออกห่างจากโลก น้ำหนักของเราก็ยิ่งน้อยลง ดังนั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราขุดดินลงไปใจกลางของโลก เราน่าจะหนักขึ้น แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย น้ำหนักของเรามาจากแรงดึงดูด จากมวลทุกอย่างที่อยู่บนโลก เม็ดทราย หยดน้ำ โมเลกุลของอากาศ (รวมแล้ว 6,000,000,000,000,000,000,000,000 กิโลกรัม) จะออกแรงดึงเรา และมวลพวกนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้เท้าของเรา เราจึงรู้สึกถูกดึงดูดลงข้างล่าง ในกรณีที่เราขุดดินเข้าไปใจกลางโลก มวลส่วนใหญ่จะอยู่ด้านบน และเริ่มดึงเราขึ้นข้างบน จนเมื่อเราขุดไปถึงใจกลางของโลกพอดี จุดนั้น แรงดึงดูดจากมวลทั้งหลายจะมาจากทุกทิศทาง และจะเท่ากันทุกทิศทาง จนทำให้น้ำหนักสุทธิของเราเป็นศูนย์ เหมือนกับอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก และเมื่อเริ่มขุดดินกลับสู่ผิวโลก เราจะขุดได้ยากพอ ๆ กันตอนที่ขุดลงไป อย่างไรก็ตาม น้ำหนักของเราจริง ๆ จะไม่เป็นศูนย์ เพราะเรายังได้รับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของสิ่งอื่น ๆ เช่น จากดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ แต่อิทธิพลนี้ก็น้อยจนเราเรียกได้ว่า ที่ใจกลางโลก เราจะไม่มีน้ำหนัก

โลกมีน้ำมากเท่าไหร่

ทั่วโลกมีน้ำอยู่ประมาณ 1.42 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ประมาณว่า น้ำกว่า 97 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในมหาสมุทรซึ่งครอบคลุม พื้นผิวโลกไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นน้ำจืด สามในสี่ของส่วนนี้ ถูกกักเก็บอยู่ในรูปของ ภูเขา และธารน้ำแข็ง อีก 1 ส่วนเป็นน้ำใต้ดิน ส่วนที่เหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ในทะเลสาบ แม่น้ำ ในดิน ในบรรยากาศ และในร่างกายของสิ่งมีชีวิต

ทำไมขับรถตอนโพล้เพล้จึงยากกว่าขับกลางคืน

ในจอตาของคนมีเซลล์สำหรับรับแสง และสี สองแบบคือ เซลล์รูปกรวย จะทำงานได้ดีเมื่อมีแสง มาก และเซลล์รูปแท่งที่ต้องการแสงที่น้อยกว่าในการสร้างภาพ ในความมืด สมองจะทำงานน้อยกว่า เพราะรับข้อมูลที่ได้จากเซลล์รูปแท่งเพียงอย่างเดียว แต่ในยามโพล้เพล้ ยังมีแสงเหลืออยู่บ้าง ทำให้เซลล์ ทั้งสองชนิดยังต้องทำงาน ทั้ง ๆ ที่มีข้อมูลอยู่เพียงน้อยนิด ดังนั้น การขับรถตอนกลางคืน จึงทำให้คนขับรู้สึก ว่าขับสะดวกกว่า

เมื่อออกกำลังกาย เกิดอะไรขึ้นกับหัวใจบ้าง

เมื่อออกกำลังกาย หัวใจต้องสูบฉีดเลือดนำออกซิเจน ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ปริมาณของเลือดที่สูบฉีดในหนึ่งนาที ขึ้นอยู่กับอัตราการเต้นของหัวใจ และปริมาณเลือดที่สูบไปในหนึ่งจังหวะของการเต้น ในขณะที่ออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น และบีบตัวแรงขึ้นด้วย ส่งผลให้ส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้น ทั้งปริมาณรวม และต่อครั้งของจังหวะเต้นของหัวใจ การออกกำลังกายที่ค่อนข้างหนัก จะทำให้เลือดดำไหลกลับสู่หัวใจมากขึ้น หัวใจห้องที่รับเลือดดำนี้จึงมีเลือดมากกว่าภาวะปกติ กล้ามเนื้อหัวใจจะขยายตัวมากขึ้นด้วย เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขยายตัวก็จะมีแรงบีบเพิ่มขึ้น (เหมือนกล้ามเนื้อทั่วไป) ดังนั้นปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อจังหวะการเต้นของหัวใจจึงเพิ่มขึ้นด้วย และถ้าเราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะสามารถเพิ่มปริมาณเลือดในการสูบฉีดต่อนาทีได้ ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อจังหวะการเต้นของหัวใจนั่นเอง ทั้งนี้เราไม่อาจเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจจากการฝึกได้

น้ำแข็งช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้อย่างไร

ความเย็นช่วยลดการบวมได้โดยทำให้หลอดเลือดหดตัว และยังช่วยบรรเทาอาการผิดปกติที่เกิดจากการหดตัวไม่ถูกจังหวะของกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บได้ แต่ถ้าเย็นเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ดังนั้นเมื่อจะใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่บาดเจ็บ จึงต้องประคบสลับกับการหยุดเป็นระยะ โดยทั่วไปให้ประคบน้ำแข็ง 10 ถึง 30 นาที แล้วหยุด แล้วประคบอีก จะประคบนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ตำแหน่งที่บาดเจ็บ รวมทั้งสถาพร่างกายของคุณ บริเวณของร่างกายที่มีไขมันน้อย เช่น หัวเข่า ข้อศอก ข้อเท้า จะทนความเย็นได้ต่ำกว่าส่วนของร่างกายที่มีไขมันเยอะ เช่น บริเวณต้นขา โคนขา ถ้าใช้ถุงถั่วแช่เย็น (หรืออย่างอื่นที่คล้ายกัน) ได้จะดีกว่าใช้ถุงน้ำแข็งโดยตรง เพราะถุงถั่วจะแปรตามความโค้งของร่างกายได้ดีกว่า สำหรับผู้ที่ความรู้สึกไวต่อความเย็น ผู้ที่ความดันเลือดต่ำ อาจจะมีปัญหากับการประคบเย็น ดังนั้นความปรึกษาแพทย์ด้วย และถึงแม้ความร้อนจะช่วยคลายกล้ามเนื้อ บรรเทาความเจ็บได้ แต่ก็จะทำให้เลือดไหลดี ไม่เหมาะต่อการปฐมพยาบาลช่วงแรก แต่จะใช้หลังจากประคบเย็นไปแล้ว 48 ชั่วโมง

สัตว์อะไรมีพิษร้ายแรงที่สุด

สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุด คือ แมงกะพรุน "ต่อทะเล" เป็นแมงกะพรุนที่อาศัยอยู่แถบ ออสเตรเลียตอนเหนือ ชื่อวิทยาศาสตร์ของแมงกะพรุนชนิดนี้ คือ Chironex fleckeri แมงกะพรุนนี้มีพิษร้ายแรงกว่า แมงกะพรุนขวดเขียวประมาณ 350 เท่า ผู้ที่โดนพิษของแมงกะพรุนชนิดนี้ จะเสียชีวิตภายใน 2-3 นาที และไม่มีทางรักษา

ผีดูดเลือด มีจริงหรือไม่

ในปี พ.ศ.2528 ดร.เดวิด ดอล์ฟ นักชีวเคมีชาวแคนาดา ได้คำอธิบายเรื่องผีดูดเลือดไว้ว่า

ต้นตอของตำนานผีดูดเลือดมาจาก ผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เรียกว่า พอร์ไพเรีย อันมีสาเหตุมาจาก การขาด ฮีม(haeme) สารนี้เป็นรงควัตถุสีแดงในเลือด ทำหน้าที่จับออกซิเจน คนที่ขาดฮีมจะแพ้แสงแดด มีแขนขาผิดรูป เหงือกร่นอย่างรุนแรง ทำให้ฟันยื่นออกมาคล้ายเขี้ยวของผีดูดเลือด คนเหล่านี้จะออกไล่ดูดเลือดคนอื่น เพราะต้องการสารฮีมในเลือดนั่นเอง ส่วนการออกปฏิบัติการในเวลากลางคืนก็เพราะ ไม่สามารถสู้แดดได้

หน้ากากดำน้ำ ช่วยให้มองใต้น้ำได้ดี เพราะอะไร

องค์ประกอบของดวงตาจะปกคลุมด้วยเนื้อเยื่อบาง ๆ ที่เรียกว่า คอร์เนีย เนื้อเยื่อนี้ช่วยในการหักเหแสงเพื่อให้ตกกระทบจอตา แสงจะหักเหมากน้อยแค่ไหน สามารถดูได้จากดัชนีหักเหของแสง (refractive index) น้ำมีดัชนีหักเหของแสงใกล้เคียงกับคอร์เนียของดวงตา แสงที่ผ่านน้ำมาจึงเกิดการหักเหเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เราจึงมองภาพได้ไม่ชัดเจน แต่หากเราใส่หน้ากากดำน้ำ อากาศที่อยู่ภายในหน้ากากดำน้ำจะช่วยให้การหักเหของแสง มีสภาพเหมือนขณะเราอยู่บนพื้นดินปกติ ดังนั้นเราจึงสามารถมองภาพใต้น้ำได้ชัดเจน เมื่อใส่หน้ากากดำน้ำ

---

---

inScience Homepage : ในโลกวิทยาศาสตร์
โดย inScience หนึ่งในสมาชิก

ติดต่อได้ที่ inscience@postmark.net
[[กลับสู่หน้าหลักของ inScience]]

---

---