|
|
พธูทิพย์
สว่าง กฎหมายรัฐธรรมนูญ คำนำ เป็นที่ทราบกันดีว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญนับเป็นกฎหมายที่สำคัญยิ่ง ในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ และยังเป็นรากฐานที่มาของกฎหมายอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2540 ไทยเริ่มมีการปฏิรูปการเมือง จนมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนประกาศใช้บังคับ ซึ่งจัดว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเนื้อหาส่วนใหญ่ในเอกสารชุดนี้ จึงมุ่งเน้นในการศึกษาเนื้อหาสาระในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เป็นหลัก หลักทั่วไป ความหมายของ รัฐธรรมนูญ (Constitution) สังเกต คำว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นชื่อวิชาที่ศึกษารัฐธรรมนูญ (Constitution Law) ส่วนคำว่า รัฐธรรมนูญ เป็นชื่อเฉพาะของกฎหมายประเภทหนึ่ง (Constitution) เช่น ใช้คำว่า มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ อย่าใช้คำว่า มาตรา 6 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กฎเกณฑ์ที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ขององค์กรที่ใช้อำนาจสูงสุดต่อกันหรือต่อประชาชน (เน้นที่เนื้อหาสาระของกฎหมาย ครอบคลุมไปถึงรูปแบบของรัฐ,องค์กรที่ใช้อำนาจ ตลอดจนสิทธิเสรีภาพ) ความหมายอย่างแคบ หมายถึง กฎเกณฑ์ที่กำหนดสถานะและความสัมพันธ์ ขององค์กรที่ใช้อำนาจสูงสุดต่อกันหรือต่อประชาชนและกฎเกณฑ์อื่น ซึ่งบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ที่มีการจัดทำและแก้ไขเพิ่มเติมแตกต่างจากกฎหมายธรรมดา(เน้นที่รูปแบบที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร) ถาม เวลาที่วินิจฉัย ว่าอะไรเป็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ ใช้ความหมายอย่างกว้างหรือแคบตอบ ใช้อย่างแคบ เป็นหลักเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คำปรารภในรัฐธรรมนูญข้อความตอนท้ายของย่อหน้าที่ 2 มีความว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีสาระสำคัญ เป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ใหประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เพิ่มขึ้น ตลอดทั้งปรับปรุงโครงสร้างทางการเมือง ให้มีเสรีภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้โดยได้คำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสำคัญ คำปรารภเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็น เจตนารมณ์ของรัฐธรมนูญ ซึ่งจะช่วยในการตีความรัฐธรรมนูญในภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่มาตรา 1-336 อย่าตีความรัฐธรรมนูญสวนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ สรุป เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในภาพรวม๑.ทำการเมืองให้เป็นการเมืองของพลเมือง โดยขยายสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค และการมีส่วนร่วม ๒.ขจัดการทุจริตทุกประเภท ๓.ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ บทมาตราที่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์ทั้ง 3 ประการ 1. - ขยายการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพ (หมวด 1 มาตรา 1-5 ,หมวด 3 และหมวด 4)
-ตัดสินใจ (มาตรา 46,56,170) -ตรวจสอบ (มาตรา 62,304) 2.ป้องกันการทุจริต ใช้ 2มาตรการเด็ด -มาตราการที่ 1 ป้องกันก่อนเข้าสู่ตำเเหน่ง----à มาตราการการเลือกตั้ง ( มาตรา 68 ) -มาตราการที่ 2 ป้องกันเเละปราบปราม -----------à การเเสดงบัญชีทรัพย์สิน เเละหนี้สิน ตั้งเเต่มาตรา 291 ถึงมาตรา 296 , ดูมาตรา 39 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริตพ.ศ 2542 3.ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เเละประสิทธิภาพ มี 3 มาตรการ คือ
ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ขอบเขต ๑.เหตุที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ๒.ผลจากความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ๓.อำนาจสูงสุดในการก่อตั้งองค์กรทางการเมือง ๑.เหตุที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
๒.ผลจากความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ 2.1 ผลตามมาตรา 6 ที่ว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้ 2.2 การเเก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญย่อมกระทำได้ยาก เเละต้องกระทำโดยวีธีการพิเศษยิ่งกว่ากฎหมายธรรมดา ( มาตรา 313) รัฐธรรมนูญในฐานะที่มาสูงสุดของความชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี เเละศาล ตามบทบัญญัติเเห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา 27 สิทธิเเละเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดเเจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครอง เเละผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล เเละองค์กรอื่นของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมายเเละตีความกฎหมายทั้งปวง
อะไร? เป็นบทบัญญัติเเห่งกฎหมาย
กฎหมายรัฐธรรมนูญตามความหมายของรัฐธรรมนูญ
ที่บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้ หลัก - เเสดงให้เห็นว่า กฎหมายทุกชนิดทุกลำดับไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใด หรือกฎ หรือระเบียบ ข้อบังคับใด ไม่ว่าจะมาจากองค์กรใดๆ ก็ตาม จะออกมาขัดหรือเเย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ มาตรา 264 บัญญัติว่า ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติเเห่งกฎหมายบังคับเเก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้เเย้งว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 เเละยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวเเละส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้เเย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง เเละไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดเเล้ว หลัก - บทบัญญัติเเห่งกฎหมาย ในมาตรา 264 หมายความเฉพาะบทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่ออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ เท่านั้น ได้เเก่
๑.กฎหมายที่พิพาทนั้นมีศักดิ์สูงกว่าพระราชบัญญัติ หรือ ๒. ต่ำกว่าพระราชบัญญํติ
ถ้าเข้า ๑. ----------------------à เป็นอำนาจ ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยพิจารณา ถ้าไม่เข้า๑. ------------------à ไม่เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยพิจารณา ศักดิ์สูงกว่าพระราชบัญญัติ คือ ศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ คือ
ตัวอย่างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
คำวินิจฉัยที่ 9/2542 ศาลจังหวัดหล่มสักส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า ประกาศธนาคารเเห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฎิบัติในเรื่องดอกเบี้ยเเละส่วนลดลงวันที่ 20 ตุลาคม 2536 เป็นประกาศที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ 2505 ซึ่งเเก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ 2522 มาตรา 14 เเละพระราชบัญญัติดอกเบี้ยให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ 2523 ซึ่งเเก้ไขเพิ่งเติมโดยพระราชบัญญัติดอกเบี้ยให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ 2535 มาตรา 4 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 เเละมาตรา 30 หรือไม่
อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
"องค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ" หมายถึง องค์กรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 คือ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี เเละศาลต่างๆ กับองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ เเละกำหนดอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะในรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการเเผ่นดินรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันเเละปรามปราบการทุจริตเเห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจเเละสังคมเเห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเเห่งชาติ ซึ่งไม่รวมถึงองค์กรที่รัฐธรรมนูญให้จัดตั้งขึ้น คำวินิจฉัยที่ 2/2541 รมต.มหาดไทยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอำนาจหน้าที่ของตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวกับการออกหมายค้น ตาม ป.วิ.อ มาตรา 92 วรรค 2 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า องค์กรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 หมายถึง องค์กรที่มีบทบาทหนัาที่ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเเละรัฐธรรมนูญ มาตรา 201 วรรค 1 ได้กำหนดตัวบุคคลเเละอำนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศไว้ องค์กรฝ่ายบริหาร คือ คณะรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า รมต. มหาดไทยหรือกระทรวงมหาดไทยเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานหนึ่งของฝ่ายบริหาร หาใช่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญเเต่อย่างใดไม่ กระทรวงมหาดไทยจึงไม่อาจร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาโดยอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 266คำวินิจฉัยที่ 4/2541 ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับวาระการดำรงตำเเหน่งของสมาชิกสภาเทศบาล ตามที่สมาคมสันติบาตเทศบาลเเห่งประเทศขอ โดยเนื่องมาจาก พ.ร.บ เทศบาล พ.ศ 2496 มาตรา 16 ให้สมาชิกสภาเทศบาลอยู่ในตำเเหน่งได้คราวละ 5 ปี เเต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 285 ให้มีวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละ 4 ปี ซึ่งสมาคมสันนิบาตเทศบาลเเห่งประเทศไทย เห็นว่าต้องถือตาม พ.ร.บ เทศบาล พ.ศ 2496 มาตรา 16 แต่คณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าต้องถือตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 285 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ ระเบียบบริหารราชการเเผ่นดิน พ.ศ 2534 มาตรา 70 บัญญัติ ว่า ให้จัดระเบียบบริหาร ราชการส่วนท้องถิ่น ดังนี้ .( 2) เทศบาล ดังนั้น เทศบาลจึงเป็นองค์กรส่วนท้องถิ่นตามหมวด 9 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาเทศบาลว่า จะมีวาระตามที่กำหนดในมาตรา 16 วรรคหนึ่ง เเห่ง พ.ร.บ เทศบาล พ.ศ 2496 หรือวาระตามที่กำหนดในมาตรา 285 วรรค 5 เเห่งรัฐธรรมนูญ จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ เเละโดยที่ปัญหาดังกล่าวประธานรัฐสภาได้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญ จึงรับไว้พิจารณา พ.ร.บ เทศบาล พ.ศ 2496 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 285 วรรคห้า ไม่มีผลบังคับตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ NOTE - 1) การส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 266 นั้น ต้องมีข้อโต้เเย้งเกิดขึ้น ไม่ใช่ กรณีที่เป็นเพียงข้อหารือหรือ ข้อสงสัยทางกฎหมาย ( คำวินิจฉัยที่ 8/2542 )
หลักเกณฑ์การควบคุมกฎหมายไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญในส่วนของมาตรา 264 มาตรา 264 ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติเเห่งกฎหมายบังคับเเก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้เเย้งว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายนั้น ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 เเละยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับทบัญญัตินั้น ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว เเละส่งความเห็นเช่นว่านั้น ตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัยในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่าคำโต้เเย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง เเต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดเเล้ว หลักเกณฑ์โดยรวมของมาตรา 264
วิเคราะห์หลักเกณฑ์ได้ดังนี้
คำวินิจฉัยที่ 3/2544 จำเลยที่ 3ในคดีอาญา ข้อหามีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรต่างประเทศปลอม อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมเเละข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า พ.ร.บ ราชทัณฑ์ พ.ศ 2479 มาตรา 4 (2) เเละมาตรา 14(1)-(5) ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ปฎิบัติต่อผู้ต้องขังที่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดได้เช่นเดียวกับผู้ต้องขังที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเเล้ว ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 4 มาตรา 30 เเละมาตรา 33 ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย จำเลยที่ 3 ถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามเเดนกลับไปประเทศญี่ปุ่น ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเเล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ได้อยู่ประเทศไทย เนื่องจากส่งตัวไปยังประเทศญี่ปุ่นแล้ว การพิจารณาคำร้องจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยที่ 3 ประกอบกับการที่ จำเลยที่ 3 อ้างว่า พ.ร.บ ราชทัณฑ์ พ.ศ 2479 มาตรา 4(2) เเละมาตรา 14( 1) (5) ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 มาตรา 30 และมาตรา 33 นั้น ปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ได้ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรต่างประเทศปลอมเเละร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น ซึ่งเป็นความผิดตามมาตราประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น เมื่อศาลยุติธรรมมิได้ใช้ พ.ร. บ ราชทัณฑ์ พ.ศ 2479 บังคับเเก่คดีตามคำร้องนี้เเล้ว พ.ร.บ ราชทัณฑ์ พ.ศ 2479 มาตรา 4(2) เเละมาตรา 14(1) (5) จึงมิใช่บทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับเเก่คดีตามคำร้องนี้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาฎีกาที่ 623/2543 คดีขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามเเดน เป็นเรื่องที่พนักงานอัยการขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขังพันตำรวจตรีบัสลุล ฮูด้า ซึ่งต้องหาว่าฆ่าประธานาธิบดีบังคลาเทศ ไว้เพื่อดำเนินการส่งข้ามเเดนไปดำเนินคดีที่ประเทศบังคลาเทศ ตาม พ.ร.บ ส่งผู้ร้ายข้ามเเดน พ.ศ 2472 มาตรา 3,4,6,12,15 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามขอ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพาษายืน (คดีถึงที่สุดตามพ.ร.บ ส่งผู้ร้ายข้ามเเดน พ.ศ 2472 มาตรา 17 ) ในระหว่างรอการส่งตัวข้ามแดน จำเลยยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ พร้อมทั้งยื่นคำร้องว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่ใช้บังคับเเก่จำเลยขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ศาลชั้นต้นยกคำร้องทั้งสองฉบับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา เฉพาะในปัญหาว่า การที่ศาลล่างทั้งสองไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจรณาวินิจฉัยเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 264 วรรคหนึ่ง เเละวรรคท้าย .แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การที่ศาลจะส่งความเห็นเช่นว่านั้นเพื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ต้องเป็นคดีที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล จึงให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว หาใช่กรณีคดีถึงที่สุดเเล้ว เเต่อย่างใดไม่ เเละหากคดีถึงที่สุดเเล้วย่อมไม่มีประโยชน์ ที่จะส่งคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป เพราะเเม้ส่งไปเเละศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ ก็มิอาจกระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว คดีนี้ปรากฎว่า คดีได้ถึงที่สุดเเล้วตาม พ.ร.บ ส่งผู้ร้ายข้ามเเดน พ.ศ 2472 โดยจำเลยมิได้ร้องขอให้ศาล ส่งความเห็นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในระหว่างการพิจารณาพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงถือได้ว่า กรณีล่วงเลยเวลาที่จะดำเนินการตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอ้างว่าคดีถึงที่สุด เพราะยังมีการร้องขอให้พิจารณาใหม่ ตามมาตรา 247 เเห่งรัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย มาเป็นเหตุที่ทำให้เห็นว่าคดีของจำเลยยังคงได้รับการพิจารณาอยู่ในศาล เพื่อเป็นข้ออ้างว่าคดียังไม่ถึงที่สุด เเต่เเท้จริงเเล้ว คดีของจำเลยถึงที่สุด เหลือเพียงการส่งจำเลยข้ามเเดนเท่านั้น การยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีของจำเลยดังกล่าว หามีผลให้คดีถึงที่สุดแล้วกลับกลายเป็นคดีที่ยังไม่ถึงที่สุดอีกครั้งหนึ่งไม่ จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย NOTE - มีคำวินิจฉัยที่ 34-53 /2543 ที่ศาลรับพิจารณาให้ เเม้คดีถึงที่สุด เเล้ว เเต่ยังมีกรณีข้อพิพาทเกิดขึ้นในชั้นบังคับคดี คำวินิจฉัยที่ 11/2544 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานมีเฮโรอีนในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม พ.ร.บ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ 2522 มาตรา 15 วรรค สอง มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พ.ร.บ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ 2522 มาตรา 15 วรรค สอง บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งเเต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย บทบัญญัติดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 36.9 กรัม ไว้ในครอบครองเช่นนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนดังกล่าวในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว จำเลยทั้งสองจะอ้างหรือนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวหาได้ไม่ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามฟ้อง จำเลยทั้งสองฎีกา โดยในฎีกาโต้แย้งว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ 2522 มาตรา 15 วรรค สอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 33 หรือไม่
สรุป
อย่าลืมว่า ถ้าเป็นคดีที่อยู่ในศาลเเล้ว การส่งความเห็นหรือข้อโต้เเย้ง ศาลเท่านั้นที่มีอำนาจส่ง คู่ความจะส่งเองไม่ได้ ( คำวินิจฉัยที่ 5/2541 ) เเต่ถ้ายังไม่เป็นคดีกันที่ศาล อาจยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการเเผ่นดินรัฐสภาได้อีกทางหนึ่ง
สรุป
-บทบัญญัติเเห่งกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ -บทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้ คำวินิจฉัยที่ 909/2541 เป็นกรณีจำเลยในคดีเเพ่งที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ชำระหนี้เเก่โจทก์ ระว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการทำร้ายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของจำเลยเเละละเมิดสิทธิเสรีภาพของจำเลย เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกามีคำสั่งว่า กรณีตามคำร้องมิใช่เป็นการโต้เเย้งว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงมิใช่กรณีที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 264 หมายเหตุ - รวมถึงการกระทำของนิติบุคคล , คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลเองด้วย ที่ไม่อยู่ในกรณีตามมาตรา 264 คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/2541 เป็นคดีจำเลยในคดีเเพ่ง เรื่อง พ.ร.บ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 2 ประเด็น ประเด็นเเรกอ้างว่า มีคำพิพากษาฎีกา 2 ฉบับ ผู้พิพากษาลงชื่อไม่ครบองค์คณะ เเม้ประธานศาลฎีกาจะบันทึกรับรองว่าผู้พิพากษานั้นได้ร่วมประชุมปรึกษาเป็นองค์คณะ เเละเเจ้งเหตุที่ไม่ได้ลงนามว่าไปดำรงตำเเหน่งที่อื่นบ้าง เกษียณอายุราชการบ้าง ก่อนที่จะลงนามในคำพิพากษา เเต่ประธานศาลฎีกาไม่ได้จดเเจ้งระบุข้อความให้ชัดเจนว่า เเละมีความเห็นพ้องด้วยคำพิพากษานั้น ตาม ป.วิ.พ มาตรา 141 วรรคสอง บังคับให้ต้องระบุไว้ด้วย คำพิพากษาทั้งสองฉบับดังกล่าว จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 233 เเละประเด็นที่สองอ้างว่า ศาลจังหวัดนนทบุรีนำพ.ร.บ ควบคุมการเช่านา พ.ศ 2517 ซึ่งถูกยกเลิกเเล้วก่อนวันที่โจทก์ฟ้อง มาใช้บังคับเเก่คดี เป็นการไม่ปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 233 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประเด็นเเรกเป็นการโต้เเย้งการดำเนินการของศาลฎีกาว่าปฎิบัติไม่ถูกต้องตามป.วิ.พ มาตรา 141 วรรคสอง มิได้โต้เเย้งว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่ศาลใช้บังคับเเก่คดีคือ ป.วิ.พ มาตรา 141 วรรคสอง ว่าขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนประเด็นที่สองเป็นการโต้เเย้งว่า ศาลใช้กฎหมายฉบับที่ไม่ถูกต้อง มิได้เป็นการโต้เเย้งว่ากฎหมายนั้นขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกัน ทั้งสองกรณีจึงไม่เป็นการโต้เเย้งว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับเเก่คดีต้องด้วยมาตรา 6 ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ให้ยกคำร้อง คำวินิจฉัยที่ 9/2543 เป็นเรื่องจำเลยในคดีเเพ่ง ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คิดดอกเบี้ยกรณีผิดนัดในอัตราร้อยละ 18 ร้อยละ 19 ร้อยละ 20.25 เเละร้อยละ 21.50 ต่อปี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ร้องเเละตัวเเทนผู้บริโภคเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 50 เเละมาตรา 57 หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นการขอให้พิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำของบุคคลหรือนิติบุคคล มิใช่พิจารณาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติเเห่งกฎหมายใดขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามความหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง
ต้องยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น 1. เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร (ม. 268) 2.ไม่รวมถึงคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ 5.ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญมาตรา 264 วรรคท้ายบัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง เเต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด เเสดงว่า
รัฐธรรมนูญ มาตรา 264 วรรคท้าย บัญญัติให้ เมื่อศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้เเย้งว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับเเก่คดีขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว เเละส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย สรุป - ศาลที่ส่งเรื่องจะต้องหยุดดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งปวงไว้ ในระหว่างที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บทบัญญัติเเห่งกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลก็จะใช้บทบัญญัตินั้นมิได้ เเต่ถ้าหากไม่ขัด จึงจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ส่งเรื่อง---------------------------à stop ---ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย-------à 1. จบ 2. ดำเนินกระบวนการต่อไป
ตัวอย่างของบทบัญญัติที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าบทบัญญํติของกฎหมายตามความในมาตรา 264 และไม่รับวินิจฉัย ประกาศธนาคารพานิชย์เเละบริษัทเงินทุนต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลที่ไม่รับวินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า ประกาศดังกล่าวไม่ใช่ประกาศของทางราชการ เเละไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ได้
เบี้ยเเละส่วนลด , เรื่อง การกำหนดบริษัทเงินทุนปฎิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชน เเละการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทอาจจ่ายหรืออาจเรียกได้ ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลที่ไม่รับวินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า ประกาศธนาคารเเห่งประเทศไทยดังกล่าว เป็น ประกาศที่ออกโดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเเละมีผลใช้บังคับได้ เท่าที่อยู่ในขอบเขตอำนาจที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เเต่ประกาศดังกล่าวมิได้ออกโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ จึงไม่เป็นบทบัญญัติเเห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 จึงไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาวินิจฉัย ประกาศกระทรวงการคลัง เช่น เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากได้จากผู้กู้ยืม พ.ศ 2535 ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่า ประกาศดังกล่าวออกโดยรัฐมนตรีโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายเเละโดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย และมีผลบังคับได้เท่าที่อยู่ในขอบเขตอำนาจที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เเต่ประกาศดังกล่าวมิได้ออกโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ จึงไม่เป็นบทบัญญัติเเห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 จึงไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัย ข้อบังคับหรือคำสั่งต่างๆ เช่น ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ 2523 ข้อ 2.5 ที่ให้อำนาจอธิบดีกรมตำรวจเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเเละมีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับคดีได้ทุกคดี เเละคำสั่งเเต่งตั้งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ซึ่งจำเลยโต้เเย้งว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 241 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลทำนองเดียวกันว่า เป็นคำสั่งของฝ่ายบริหารที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายเเละใช้บังคับได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจไว้ มิได้ออกโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ จึงไม่เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามมาตรา 264 การตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ รัฐธรรมนูญกำหนดการควบคุมอำนาจของรัฐ ดังนี้
คดีพิเศษในศาลรัฐธรรมนูญ ศึกษาในส่วนของคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญเเยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
( ในส่วนนี้จะกล่าวเฉพาะ ข้อ 1. ) คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 1. คดีอาญา (มาตรา 308 , พ.ร.บ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางกรเมืองพ.ศ 2542 มาตรา 9 (1) ,(2) )
2. คดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของเเผ่นดิน
ขยาย
NOTE - คดีที่กรรมการ ป.ป.ช ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อ หน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ก็อยู่ในอำนาจพิจารณาของศษลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นกัน บุคคลที่อาจถูกดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
|