|
|
สรุปหลักกฎหมายอาญาภาค 1 บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อ
- ผู้กระทำ - การกระทำ - วัตถุแห่งการกระทำ 1.3 ครบองค์ประกอบภายใน1.4 ผลของการกระทำสัมพันธ์กับการกระทำ ไม่มีความผิดไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ มาตรา 2 ห้ามนำมาใช้เพื่อเป็นผลร้ายเว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้าใช้เพื่อเป็นคุณนำมาใช้ได้ถือเป็นหลักกฎหมายทั่วไปฎ : 1403/08 ความยินยอมถ้าไม่ขัดต่อสำนึกในศีลธรรมอันดีสามารถยกเว้นความผิดได้โดยถือว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป
รถเป็นการกระทำที่พอเหมาะพอควรแก่การจับมีอำนาจทำได้ ตาม ปอ.มาตรา83 ไม่ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 สำนักติวกฎหมายราม 17 -2-
สรุปหลัก คือ ถ้าผู้กระทำมีอำนาจทำได้ตาม 5 ข้อข้างต้น การกระทำนั้นจะไม่เป็นความผิดทางอาญา
มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา ..
รู้สำนึก คือ อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ การกระทำไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือไม่ต้องผ่าน 3 ขั้นตอนด้วยความรู้สำนึกในการที่กระทำ คือ
สำนักติวกฎหมายราม 17 -3- *******การเคลื่อนไหวร่างกายมิใช่จะเป็นการกระทำเสมอไป การเคลื่อนไหวร่างกายต้องเป็นการเคลื่อนไหวโดยรู้สภาพและสาระสำคัญของการกระทำคนละเมอ คนเป็นลมบ้าหมู ถูกผลัก ถูกชน ถูกจับมือให้ทำ ถูกสะกดจิต กรณีเช่นนี้ไม่มีการกระทำ*******
การกระทำโดย งดเว้น มีหลักเกณฑ์ คือ
การกระทำโดย ละเว้น มีหลักเกณฑ์ คือ
สรุป การกระทำโดยงดเว้น/ละเว้น ต่างกันตรงหน้าที่ ถ้าเป็น- หน้าที่โดยเฉพาะเพื่อป้องกันผล (SPECIAL DUTY) การไม่ทำตามหน้าที่เป็นการกระทำโดยงดเว้น
ตัวอย่าง แดงจ้างขาวไปฆ่าดำ ขาวตกลง ระหว่างขาวกำลังหาโอกาสที่จะฆ่าดำอยู่นั้น วันหนึ่ง ดำมาว่ายน้ำในสระน้ำ ดำเกิดเป็นตะคริวและกำลังจะจมน้ำ คำร้องขอให้ช่วย ขาวเป็นลูกจ้างประจำสระมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของสระว่ายน้ำนั้น ขาวเห็นสามารถช่วยได้แต่ไม่ช่วยเพราะต้องการให้ดำตาย ในที่สุดดำตาย ขาวและแดงผิดฐานใดตอบ วินิจฉัยความผิดของผู้ลงมือก่อนแล้วจึงวินิจฉัยความผิดตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุนเพราะต้องขึ้นอยู่กับความผิดของผู้ลงมือ ฉะนั้นดูให้ดีว่าใครลงมือ
สำนักติวกฎหมายราม 17 -4-
ตัวอย่าง A เห็นคนตาบอดข้ามถนนเลยไปช่วย แต่พอพาไปกลางถนนรถเมล์มา A เลยวิ่งไปขึ้นรถทิ้งคนตาบอดไว้ ขาวขับรถมาชนถูกคนตาบอดตาย
แดงเองเช่นนี้ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดเอง การใช้สัตว์เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดการใช้บุคคลซึ่งไม่มีการกระทำ เช่น ถูกสะกดจิตเป็นเครื่องมือถือว่าเป็นการกระทำความผิดเอง
คนเข่าไปขุดดินในที่พิพาทและผู้รับจ้างจาก จล.ได้ขุดดินของผู้เสียหลายจนเกิดเป็นบ่อ ทำให้ที่พิพาทเสียหายเช่นนี้ การกระทำของ จล.ย่อมมีความผิดตาม ปอ.ม.358, 362 จล. จะเถียงว่ามูลกรณีเป็นคดีแพ่งมิใช่คดีอาญาย่อมฟังไม่ขึ้น 3. ผู้ร่วมในการกระทำความผิด ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน
สำนักติวกฎหมายราม 17 -5- ตัวอย่าง เปรียบเทียบผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ประเภท
น้ำผสมยาพิษไปวางตอน 7 โมง ดำตื่นมา 8 โมง ดื่มน้ำนั้นตาย แดงวางเองเป็นผู้กระทำความผิดด้วยตนเอง พิษ ให้ช่วยนำไปให้ดำกิน ครั้นเวลา 7 โมง ขาวนำไปวาง 8 น. ดำตื่นกินน้ำผลไม้และตายแดงผิด 289(4) + 59 เป็นผู้กระทำความผิดโดยทางอ้อม ทั้ง 3 กรณีจะถือว่าอย่างไร แดงผู้กระทำลงมือฆ่าดำ พยายามฆ่าเรื่องพยายามมีอยู่ตาม มาตรา 80 ถือ การมือกระทำความผิด ศาลไทยผมรับตาม หลักใกล้ชิดต่อผล คือ ได้กระทำลงจนใกล้ชิดกับผลสำเร็จอันพึงเห็นได้ประจักษ์แล้ว
ม.288 มีว่า ผู้ใด ฆ่า ผู้อื่น แดง = ผู้ใด ใช้ปืนยิง = การฆ่า ดำ = ผู้อื่น แดง = ผู้ใด การใช้ปืนยิง = การฆ่า แต่ดำ ¹ ผู้อื่น เพราะเป็นศพไปแล้วถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก
ประกอบภายนอก แดงใช้ปืนยิงศพของดำ โดยคิดว่าดำยังไม่ตาย กรณีนี้ ขาดองค์ประกอบภายนอก เพราะความ จริงเป็นศพ ผลในทาง กม.มี 2 ความเห็นคือ ไม่ผิดเลย, ผิดแต่ผิดตามมาตรา 81 อันหลังเป็นความเห็นฝ่ายข้างน้อย
สำนักติวกฎหมายราม 17 -6- เจตนาตามความเป็นจริงตาม มาตรา 59 ต้องพิจารณาตามมาตรา 59 วรรค 3 ก่อนแล้วจึงพิจารณามาตรา 59 วรรค 2 ซึ่งจะได้หลักว่าผู้กระทำมีเจตนาต่อเมื่อ 1. ผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด 2. ผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผลของการที่กระทำของตนนั้น, จะต้องเล็งเห็นผลของการที่กระทำนั้น *หลักเรื่องรู้ (ม. 59 ว.3 ม. 62, ว.2, ว.3)
ให้ผู้กระทำรับผิดฐานประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท ตัวอย่าง ใช้ปืนยิ่งไปหลังพุ่มไม้โดยคิดว่ายิงหมูป่า ความจริงยิงคน การที่รีบร้อนไม่ตรวจตราดูให้ดีก่อนว่าเป็นหมูป่า มีคนถูกยิง ไม่มีเจตนาฆ่าคนคนนั้น แต่การรีบร้อนไม่ดูให้ดีถือว่าประมาท ซึ่งต้องวิเคราะห์ตาม ว.59 ว.4 ถ้าประมาทก็ต้องรับผิดตาม ม.291 แต่บางกรณีแม้จะประมาทก็ไม่ต้องรับผิด เช่น หยิบร่มรีบร้อนไม่ดูให้ดีถ้าดูให้ดีจะรู้ว่าไม่ใช่ร่มตนเป็นประมาท แต่ไม่ต้องรับผิดเพราะการลักทรัพย์โดยประมาทกฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด รู้เท่าใดมีเจตนาเท่านั้น (มาตรา 62 ว.ท้าย)
- แดงต่อขาว แดงดักยิงผิด 2879 (4) แต่ไม่ต้องรับผิด 289(1) จะถือว่าผิดฐานฆ่าบุพการีไม่ได้เพราะ 62 ว.ท้าย บัญญัติว่าบุคคลนั้นต้องรู้ข้อเท็จจริงนั้น แดงไม่รู้ว่าเป็นการฆ่าพ่อ คิดว่าฆ่าศัตรูจะถือว่าแดงมีเจตนาฆ่าพ่อไปได้ ดังนั้น แดงต่อขาวคือ 289(4) + 59
ถูกยิงจนหมดสิ้นแล้ว เป็นเรื่องสำคัญผิดในตัวบุคคล ไม่ใช่การกระทำโดยพลาด รู้เท่าใดมีเจตนาเท่านั้น แต่ไม่เกินความจริง
- แดงต่อดำ 289(4) เพราะดักซุ่มยิงตั้งแต่แรก เจตนาตาม 59 จะยกความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาไม่ได้ ตาม ม.61 เพราะฉะนั้น แดงต่อดำ 289 (4) + 59 + 61 ไม่มี 289(1) เพราะว่าคนที่ถูกยิงไม่ใช่พ่อ คิดว่ายิงพ่อจะรับผิดฐานฆ่าพ่อไม่ได้ สำนักติวกฎหมายราม 17 -7-
สรุป หลักเรื่องรู้
* เจตนาประเภทประสงค์ต่อผล ทางตำราเรียกว่า เจตนาโดยตรง ประสงค์ต่อผลหมายความว่ามุ่งหมายจะให้เกิดผล ถ้าเกิดผลก็เป็นความผิดสำเร็จ ถ้าผลไม่เกิดก็เป็นผิดพยายาม ตาม ม.80, 81 ก็ได้ความผิดอาญาสามารถแยกออกได้หลายประเภท แต่ทางตำราได้แยกออกคือความผิดที่ต้องมีผลปรากฏและความผิดที่ไม่ต้องมีผลปรากฏ*อย่างไรจึงจะถือเป็นเจตนาฆ่า/อย่างไรเป็นเจตนาทำร้าย หลักคือ กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา คือการกระทำของผู้กระทำที่แสดงออกมาภายนอกเป็นเครื่องชี้ถึงสภาพจิตใจของผู้กระทำว่ามีเจตนาอย่างไรหลักทั่ว ๆ ไปคือ
10 CM. เป็นอวัยวะสำคัญแต่ไม่ถูกเส้นเลือดแดง ผู้เสียหายจึงไม่ตายแสดงว่ามีเจตนาฆ่าตาม 288+80 แม้ การที่ จล.เพียงชกต่อยแต่ จล.ย่อมเล็งเห็นว่ามีดโกนที่อยู่ในมือ จล.จะบาดคอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถือว่ามีเจตนาฆ่า ฎ : 1006/01 ยิงในระยะ 1 วา ถูกขาเหนือตาตุ่มกระดูกแตก ถ้าตั้งใจฆ่าก็คงยิงถูกที่สำคัญได้ แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า ผิด 295 ฎ : 234/25 จล.ยิงไปที่พื้นในขณะผู้เสียหายกำลังเดินไปหาจล. และห่างแค่ 2 วา จล.เล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนอาจถูกผู้เสียหายได้ หากกระสุนถูกขา ผู้เสียหายบาดเจ็บต้องถือว่ามีเจตนาทำร้ายมิใช่แค่ยิงขู่ ฎ : 223/37 จล. ใช้ปืนยิงในระยะห่าง 5-6 วา หาก จล.ประสงค์จะเอาชีวิตคงเลือกยิงในตำแหน่งที่อาจทำให้ถึงตายได้โดยไม่ยากการที่ จล.ยิงในระดับต่ำถูกต้นขา ย่อมแสดงให้เห็นว่า จล.เขตนาแค่ทำร้ายร่างกายเท่านั้นจึงผิด 295 * เจตนาเล็งเห็นผล เจตนาโดยอ้อม คือเล็งเห็นว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ ตัวอย่าง ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำ แดงใช้ปืนยิงดำซึ่งยืนติดกับขาวปืนที่ใช้เป็นปืนลูกซอง กระสุนถูกดำและแผ่กระจายไปถูกขาว ทั้งดำ+ขาว ตาย - ความรับผิดชอบของแดงต่อดำ 288+59 เจตนาประสงค์ต่อผล - ความรับผิดชอบของแดงต่อขาว 288+59 เจตนาประเภทเล็งเห็นผล สำนักติวกฎหมายราม 17 -8- เพราะขาวยืนติดกับดำ ปืนที่ใช้เป็นลูกซองเล็งเห็นได้ว่าถ้ายิงไปที่ดำแล้วผลจะเกิดแก่ขาวอย่างแน่นอน ไม่ใช่พลาดเพราะพลาดจะต้องไม่เล็งเห็นผล * ตัวอย่างฎีกาเรื่องเล็งเห็นผล * ~ ฎีกาเจตนาฆ่าฎ : 1270/26 จล.ขับรถบรรทุกลูกรังสูงเกินกำหนด พอเจอด่านตรวจ ตร.เป่าให้หยุดจล.กลัวถูกจับจึงไม่หยุด แต่กลับเร่งเครื่องพุ่งใส่ ตร.ที่ยืนอยู่ทางซ้ายแต่ ตร.กระโดดหลบทัน ดังนั้น จล.ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่า รถที่พุ่งใส่จะต้องชน จพง.ตร. ตายได้ จล.จึงผิด 289(2) + 80 ฎ : 2255/22 จล.ขับรถสิบล้อปิดทางไม่ให้รถที่ตามมาแซง เมื่อเห็นรถโดยสารสวนมาใกล้ จล.กลับหยุดรถ + หักหัวรถไปทางซ้าย รถที่ตามมาจึงต้องหักหลบขวาและชนกับรถที่สวนมาเป็นเหตุให้คนตาย ดังนี้ จล.เล็งเห็นผลว่าจะเกิดคนตาย จึงผิด 288 เจตนา เล็งเห็นผลตาม ม. 59 ฎ : 2720/28 จล.ผลัก ผู้เสียหายตกลงมาจากช่องเพดานโบสถ์ สูงจากพื้น 10 เมตร พื้นเป็นซีเมนต์หากตกลงมาศีรษะกระทบพื้นอาจถึงตายได้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลังหักถ้ารักษาไม่ดีอาจพิการ ดังนี้ จล.ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงตายได้ จล.ผิด 288+80 ฎ : 2991/36 จล. ขับรถตามรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับไป จล.ใช้ M 16 ยิงยางรถหลายนัดแม้เจตนายิงยางเพื่อให้รถล้ม จล.ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนอาจถูกผู้เสียหายได้จึงเป็นเจตนาฆ่า ฎ : 1748/38 จล.ถีบผู้ตายตกลงแม่น้ำตรงที่ลึกประมาณครึ่งตัว ของผู้ตาย + ใช้แผ่นซีเมนต์กว้าง 10 ยาว 10 ฟุต หนา 2 ทุ่มใส่ศีรษะของผู้ตายในระยะใกล้ ขณะที่ผู้ตายปีนขึ้นบนฝั่ง เป็นเหตุให้ผู้ตายหมดสติจมน้ำตาย จล.ย่อมเล็งเห็นได้ว่าการทุ่มแผ่นซีเมนต์จะทำให้ผู้ตายได้รับอันตรายถือว่ามีเจตนาได้ผิดเจตนาฆ่า ฎ : 573/39 จับเด็ก 3 ขวบ โยนใส่แม่เด็กหลายครั้งจนหัวเด็กกระแทกตะกร้า กระดูกต้นคอเคลื่อน ย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจเป็นเหตุให้เด็กตายได้ ฎ : 363/40 ใช้ไขควงที่ฝนจนแหลมเป็นอาวุธแทงไปที่ร่างกายคนอื่นเพื่อให้ผิวหนังทะลุเล็งเห็นผลว่าจะทำให้ถึงตายได้ ~ เจตนาทำร้ายฎ : 1334/10 จล.จะทำร้ายบุตรผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงเข้าไปขัดขวาง จล.ผลักผู้เสียหายล้มลง จล.ย่อมเล็งเห็นผลว่า เมื่อผู้เสียหายล้มลงแล้วผู้เสียหายจะได้รับผลอย่างไร เมื่อผู้เสียหายบาดเจ็บจึงเป็นผลจากการกระทำของ จล. ฎ : 3322/31 ผู้เสียหายเป็น ตร.เข้าตรวจค้นรถบรรทุกที่ จล.จับโดยโหนตัวขึ้นไปยืนบนบันไดรถ จล.กลับขับรถกระชากออกไป โดยเร็วและไม่ยอมหยุดรถ เจตนาให้ผู้เสียหายตกจากรถ ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ถือว่ามีเจตนาทำร้าย ฎ : 2829/32 จล.จุดไฟเผาที่นอนชั้นล่างของบ้าน แต่มีผู้ดับได้ทันมีของเสียหาย 10 รายการ ไม่ปรากฏว่าตัวบ้านถูกเพลิงไหม้ คงมีแต่เขม่าดำจับติดอยู่ที่ผนังห้อง และกระดาษภาพที่ติดผนังบ้านไหม้ไปเท่านั้น จล.ผิด 281+82 สำนักติวกฎหมายราม 17 -9- ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่® หลักสำคัญ คือ กรณีที่วัตถุแห่งการกระทำที่ผู้กระทำตั้งใจกระทำและวัตถุแห่งการกระทำที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอันเดียวกัน จึงจะเป็นสำคัญผิดในตัวบุคคล เมื่อใดก็ตามเป็นสำคัญผิดในตัวบุคคลแล้วไม่ต้องรับผิดฐานพยายามต่อสิ่งที่ตนมุ่งกระทำต่อในตอนแรกไม่ต้องรับผิด ตัวอย่าง แดงใช้ปืนยิงตอไม้คิดว่าเป็นดำ แดงต้องรับผิด?- แดงเจตนาฆ่าดำ เห็นตอไม้คิดว่าดำ แดงต้องรับผิดต่อดำคือ 288+59+81 แดงกระทำโดยเจตนาต่อดำ เจตนาที่แสดงมีต่อดำยังอยู่ ตอไม้ไม่ได้รับเจตนาที่แดงมีต่อดำ เพราะแดงไม่ได้กระทำโดยเจตนาต่อตอไม้ แดงเจตนากระทำต่อดำ - แดงต้องการฆ่าดำ แดงยิงไปที่ตอไม้คิดว่าเป็นดำ กระสุนถูกตอไม้แฉลบไปถูกขาวซึ่งอยู่ห่างออกไปขาวตาย แดงต้องรับผิด?
® แดงต่อขาว 289(4) + 59 + 89 + 60แดงต่อเหลือง เป็น 289(4) + 60+ 80 แดงต่อดำ ไม่ต้องรับผิดใด ๆ ต่อดำ เพราะเจตนาที่มีต่อดำในตอนแรกแดงได้กระทำต่อขาวแล้ว ความรับผิดได้โอนไปสู่ขาวแล้ว - แดงต้องการฆ่าดำ เห็นขาวบิดาของแดงเดินมาคิดว่าเป็นคำใช้ปืนยิงขาวตาย ความรับผิดของแดงต่อ ขาว? ® แดงต่อขาว 289(4) + 59 + 61 ไม่ผิด 289(1) เพราะหลักมีว่ารู้เท่าใดเจตนาเท่านั้นรู้ว่ากำลังกระทำต่อบุคคลธรรมดาแต่สำคัญผิดไปทำต่อบุพการี จะถือว่าเจตนาฆ่าบุพการีไม่ได้ ต้องอ้าง 62 ว.ท้ายด้วย - แดงต้องการฆ่าดำ (บิดา) เห็นขาว (มารดา) เดินมาเข้าใจว่าเป็นดำแดงยิงขาว ขาวตาย แดงรับผิด? ® แดงต่อขาว 289(1) เพราะบุคคลที่มุ่งกระทำต่อกับบุคคลที่ได้รับผลร้ายจริง ๆ เป็นบุพการีด้วยแดงจึง ผิด 289(12) + (4), 69, 61 ** 59 ว. 3 62 ว.แรก ต่างเป็นเรื่องของความเข้าใจผิดด้วยกันทั้งนั้น แต่ความเข้าใจผิดตาม 59 ว.3 เป็นความเข้าใจผิดที่ทำให้ผู้กระทำขาดเจตนา แต่ความเข้าใจผิดตาม 62 ว.แรก เป็นความเข้าใจผิดที่ทำให้ผู้กระทำซึ่งมีเจตนาแล้ว แต่ไม่มีความผิด ไม่ต้องรับโทษหรือได้รับโทษน้อยลง ** ตามมาตรา 62 วรรคแรก มี 3 ส่วน คือ สำนักติวกฎหมายราม 17 -10-
สำคัญผิด) คือสำคัญผิดว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อ กม.แต่ความจริงไม่มีภยันตราย ฎ : 51/12 สามีนอนชั้นบน ภริยานอนชั้นล่างต่างคนต่างหลับแล้วต่อมาสุนัขเห่า ภริยาจึงตื่นไปแอบฝาห้องดูคนร้านที่ห้องนอนสามี สามีตื่นมาภายหลังมองเห็นคนที่ฝาห้องตะคุ้ม ๆ เข้าใจว่าเป็นคนร้ายในความมืดจึงหยิบมีดฟันไป 1 ครั้ง ภริยาตาย กรณีเป็นการฟ้องกันโดยสำคัญผิดพอสมควรแก่เหตุฎ : 155/12 ตร.มีหมายค้น + จับ มา จับกุม จล.ที่บ้านซึ่งอยู่ในที่เปลี่ยวในเวลาวิกาลโดยได้ปีนบ้านและรื้อฝาบ้าน จล.ส่องไฟฉายเข้าไปในบ้าน จล.สำคัญผิดว่าโจรมาปล้นจึงยิง ตร.บาดเจ็บแม้ ตร.จะได้ตะโกนบอกว่าเป็น ตร.ก็ตาม โจรมาปล้นจึงยิง ตร.บาดเจ็บแม้ ตร.จะได้ตะโกนบอกว่าเป็น ตร.ก็ตาม แต่ จล.เคยถูกปล้นโดยคนร้ายปลอมเป็น ตร.มาก่อนพฤติการณ์ของ จล.มีลักษณะเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ ** ความสำคัญผิดถ้าเกิดเพราะประมาทผู้กระทำต้องรับผิดฐานประมาท ถ้าความประมาทนั้นมี กม.บัญญัติไว้เป็นความผิด ** ตัวอย่าง แดงนำปืนเด็กเล่นขู่ล้อดำเล่น ดำไม่ดูให้ดีใช้ปืนของดำยิงแดงตาย ขณะดำใช้ปืนยิงแดง ดำมีเจตนาฆ่า 288+59+68+62 ว.แรก ปืนต่อปืนเป็นเรื่องป้องกันพอสมควรแก่เหตุ โดยสำคัญผิด จึงไม่มีความผิดแต่ถ้าพิจารณาถึงตามลำดับของเวลาก่อนที่ดำจะยิงดำไม่ดูให้ดีการไม่ดูให้ดีถือว่าประมาท ฉะนั้นดำต้องรับผิดต่อแดง 291+59 ว.4 + 62 ว. 2 - กม.แพ่ง ® 1336, 1337 / ก.ม.อาญามาตรา 358. (ฎ: 89/19) - กม. วิอาญา ® เรื่องจับโดยสำคัญผิด
ตัวอย่าง นายแดงลักทรัพย์ นางดำคิดว่าเป็นของนางขาวภรรยาของตน แดงมีเจตนาลักทรัพย์? (ทรัพย์ = สร้อย) ® แดงหยิบสร้อยรู้ว่าเป็นทรัพย์ผู้อื่น ภรรยาก็เป็นผู้อื่นถือว่าแดงมีเจตนาลักทรัพย์ของดำเพราะว่าเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นตามหลัก 59 ว.3 และประสงค์ต่อผล ตาม 59 ว.2 เป็นเจตนาตาม 59+334 แดงจะยกเอาความสำคัญผิดว่าเป็นทรัพย์ภรรยาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาลักทรัพย์ไม่ได้ แต่เมื่อเข้าใจว่าสร้อยเป็นของภริยา ถ้าความจริงเป็นของภรรยา 71 ว.แรก ยกเว้นโทษ ป.อ.ถือตาม ความเข้าใจของผู้กระทำเป็นสำคัญ สรุป แดงผิด 334+59+61+71 ว. แรก + 62 ว.แรกเรื่องบันดาลโทสะตาม(แนวฎีกาที่ 863/02) นายแดงขึ้นไปบนเรือนนายดำพบขาวภริยา แดงอยู่คนเดียวจึงข่มเหงภริยานายดำ ภริยาดำร้องขึ้น แดงจึงหนีไป พอดีดำกลับมาถึงได้ยินเสียงภริยาร้อง และทราบเรื่องจากภริยาก็ตาม แดงไปเมื่อทันกันก็ทำร้ายแดง แดงตายเป็นการทำร้ายโดยมีเจตนาฆ่า ดำผิด 288 แต่การข่มเหงภริยาเท่ากับเป็นการข่มเหงสามี อ้างบันดาลโทษได้แม้ไม่ได้เป็นการข่มเหงสามีโดยตรง สรุปแดงผิด 288+59+72 สำนักติวกฎหมายราม 17 -11- ผู้เสียหายคนแรกที่ผู้กระทำประสงค์ต่อผล, เล็งเห็นผล ฝ่ายที่ 2 ® ผู้เสียหายอีกคนที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำ แดงใช้ปืนยิงดำ ดำหลบทัน กระสุนถูกระจกรถยนต์ของดำเสียหายพลาด?
ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำ แดงใช้ปืนลูกซองยิงดำ ดำยืนติดกับขาว กระสุนถูกดำตาย และแผ่กระจายไปถูกขาวตายด้วย แดงผิด? ® กรณี แดงต่อดำ 288+59 เจตนาประสงค์ต่อผล แดงต่อขาว 288+59 เจตนาเล็งเห็นผล อาญาทั่วไปว่า ไม่รู้ก็ไม่พลาด รู้เท่าไรก็พลาดเท่านั้น คือ มาตรา 60 นี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากระทำต้องรู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานนั้นมาก่อน
ก่อนเช่นกัน (การกระทำโดยพลาดถือเจตนาแรกเป็นหลัก)
สำนักติวกฎหมายราม 17 -12- ตัวอย่าง แดงใช้ไม้ตีหัวดำ ดำหลบ แดงตีไม่ถูก แต่การที่ดำหลบทำให้ดำเซไปกระแทกถูกขาว ขาวเสียหลักล้มลงหัวฟาดพื้นตายเป็นพลาดต่อขาวเพราะผู้เสียหายฝ่ายแรกทำให้พลาด ® แดงต่อดำ 295+59+80 แดงต่อขาว 295+60+ ความตาย + ผลโดยตรง = 290
สรุปคือขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่างคือ
ฎ : 104/94 จล.ขับรถยนต์รับคนโดยสารไปตามถนน ขณะนั้นมีการยิงกันเนื่องจากเกิดจลาจล จล.ขับรถหนีแม้จะเร็วจนถึงขนาดผิดกฎจราจรก็ได้รับยกเว้นโทษ การที่ผู้ตายวิ่งตัดหน้ารถยนต์ภายในระยะ 1 วา จล.เบรกไม่ทันทั้งที่เบรกดี รถจึงทับผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ใช่ประมาท เพราะพฤติการณ์ขณะนั้นมีการยิงกันเนื่องจากเกิดจลาจล จล.จึงจำเป็นต้องขับรถเร็ว จล.ไม่อาจใช้ความระมัดระวังได้ ถือว่า จล.ไม่ประมาท จล.ไม่ต้องรับผิด เพราะในภาวะ วิสัย และพฤติการณ์เช่นนั้นจล.ไม่อาจใช้ความระมัดระวังได้ดีกว่านั้น
ฎ : 1563/21 คนโดยสารบนเรือตกน้ำ นายท้ายเรือถอยหลังไปช่วยทำให้ใบจักรฟันคนที่ตกน้ำตาย แทนที่จะโยนชูชีพลงไปช่วยตาม ข้อบังคับของการเดินเรือ กรณีถือว่านายท้ายเรือประมาทผิด 291
สำนักติวกฎหมายราม 17 -13- ฎ : 2483/28 ใช้อาวุธปืนขู่ผู้ตายมิให้ผู้ตายนำถ่านมาป้ายหน้า โดยผู้ขู่ไม่รู้ว่าอาวุธปืนนั้นมีกระสุนอยู่และทำปืนลั่นถูกบุคคลหนึ่งบุคคลใดถึงแก่ความตาย ต้องถือว่าผู้ทำปืนลั่นผิด 291ฎ : 461/36 ไม่ได้เป็นแพทย์ แต่ฉีดยาและให้ผู้ตายกินยาปฏิชีวนะประเภทเบนทิซิลลินถือว่าประมาทเป็นเหตุให้คนตาย
ฎ : 1337/34 ผู้สนับสนุนในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดมีได้เฉพาะการสนับสนุนผู้ลงมือ กระทำความผิดโดยประมาทไม่มีตาม กม.เพราะผู้สนับสนุนต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลย่อมเล็งเห็นผลในการสนับสนุน ® ถ้ามี แต่ไม่ใช้ เป็นประมาท® ถ้าไม่มี แต่ไปใช้ เป็นเจตนาย่อมเล็งเห็นผล8. การหยอกล้อ, ล้อเล่น
ความผิดอาญาที่สามารถแยกผลออกจากการกระทำได้ เช่น 288, 297, 339 ว.ท้าย, 224 ว.1, ว.2 ในกรณีที่เป็นความผิดซึ่งสามารถแยกผลออกจากการกระทำได้นี้ เมื่อมีผลของการกระทำเกิดขึ้น ผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลหรือไม่ มีหลักคือ
สำนักติวกฎหมายราม 17 -14- ฎ : 1973/97 รถจักรยานยนต์ของ จล.ที่ 2 แล่นในช่องทางที่ 1 ห่างขอบถนนทางซ้าย 1 m ส่วน จล.ที่ 1 ขับมาในช่องทางที่ 2 ซึ่งอยู่ถัดไป จล.ที่ 2 ต้องการเลี้ยวซ้ายเข้าซอยจึงขับเฉียงเข้ามาขวางในทางรถ จล.ที่ 2 โดยกระชั้นชิด ผลคือรถทั้ง 2 คันชนกันและมีคนตาย จล.ที่ 2 คนเดียวที่ถูกฟ้อง 291 ศาลฎีกายกฟ้อง จล.ที่ 2 ฐาน 291 เหตุผลคือ แม้ว่า จล.ที่ 2 จะขับรถเร็วน้อยกว่าที่ขับอยู่ก็ต้องชนกันอยู่นั่นเอง ประมาทเพียงอย่างเดียวไม่เป็นการเพียงพอที่จะทำให้ผู้กระทำต้องรับผิดตาม 291ตัวอย่าง แดงโกรธดำ เมื่อรู้ว่าดำเดินทางไปต่างประเทศ และปิดบ้านทิ้งไว้จึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะสม แดงจึงลอบวางเพลิงบ้านดำ บ้านของดำติดไฟลุกไหม้กรณีถือว่าความผิดสำเร็จแดงผิด 218(1) เพราะการที่บ้านของดำติดไฟลุกไหม้เป็นผลโดยตรงจากการที่แดงเผา ไม่เผาก็ไม่ไหม้ แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่มีเฉพาะบ้านไหม้ เมื่อตรวจดูห้องใต้ดินพบศพขาว ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขาวได้รับมอบหมายให้มาเฝ้าบ้านและนอนอยู่ห้องใต้ดินในขณะที่แดงเผาโดยที่แดงไม่รู้ว่าขณะที่เผาบ้านในห้องใต้ดินมีขาวนอนอยู่ ความตายของขาวเป็นผลโดยตรงจากการที่แดงเผาบ้านดำ ไม่เผาบ้าน ไม่ไหม้ ไม่ไหม้ ไม่คลอก ไม่คลอกขาวไม่ตาย เผาบ้านผิด 218 (1) แต่เมื่อมีคนตายมี 224ว.แรก ซึ่งโทษหนักกว่า แดงต้องรับผิดตาม 224 ว.แรกหรือไม่
ฎ : 1548-49/31 จล.ใช้เหล็กแหลมแทงหน้าท้องของ จ. มีบาดแผลหน้าท้องทะลุเข้าช่องท้อง บาดแผลภายในทะลุลำไส้เล็ก 8 รูป เส้นเลือดใหญ่ในท้องขาด 2 เส้น เป็นบาดแผลฉกรรจ์ ผู้เสียหายได้รับการผ่าตัดหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายผ่าลำไส้ออกจาก ร.พ.ประมาณ 1 เดือน เมื่อกลับมาใหม่ปรากฏว่าตับอักเสบรุนแรงเกิดจาก การถ่ายเลือดหลายครั้งทำให้ติดเชื้อไวรัส ในที่สุดก็ตาย ความตายของผู้เสียหายเป็นผลโดยตรงจากการที่ จล.ใช้เหล็กแหลมแทงที่หน้าท้อง เชื้อไวรัส สำนักติวกฎหมายราม 17 -15- ที่เข้าไปในร่างกายที่ทำให้ตับอักเสบ ถือเป็นเหตุแทรกแซง ที่คาดหมายได้เพราะเกิดหลังจากที่ถูกทำร้าย เหตุที่ตายไม่ได้ตายเพราะบาดแผลแต่ตายเพราะตับอักเสบมาจากการติดเชื้อตอนรับเลือด ดังนั้น จล.จึงต้องรับผิด
ฎ : 500/98 จล.ขับรถโดยประมาท ผู้ที่นั่งไปด้วยในรถกระโดดลงไปก่อนที่รถจะคว่ำจึงตาย จล.ต้องรับผิดในความตายด้วย ฎ : 437/00 ใช้ขวานพกเล็ก ๆ ฟันท้ายทอย 1 ครั้ง มีบาดแผลเล็กน้อย ถูกฟันแล้วยังไปไหนมาไหนได้ตามลำพัง ถ้ารักษาตามวิชาแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีทางถึงตายได้ แต่ปล่อยแผลไว้สกปรกเกิดเป็นหนองและเป็นพิษขึ้นตายภายใน 3 วัน ผู้ทำร้ายผิด 290
ตัวอย่าง แดงยิงดำถูกขาดำ แพทย์ใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาดผ่าตัดกระสุนเชื้อโรคเข้าในร่างกายดำ ดำตาย แพทย์ผิดม.291 แดงซึ่งมีเจตนาฆ่าต้องรับผิด? ดำตายสมเจตนาแดงแต่ไม่ได้ตายเพราะกระสุน ตายเพราะแพทย์ผ่าตัดใช้อุปกรณ์ไม่สะอาด การกระทำของแพทย์เรียกว่าเป็นเหตุแทรกแซงเพราะเกิดหลังจากแดงยิงดำและเป็นเหตุให้ดำตาย และเป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดหมายได้ ดังนั้นแดงต้องรับผิดตาม 288 แพทย์รับผิด 291 พฤติกรรมของแพทย์ไม่ตัดผลคือความตายของดำออกจากการกระทำในตอนแรกของแดง ฎ : 659/32 จล.ทำร้าย ก. มีเจตนาฆ่าหลังจาก ก.ถูกทำร้ายแล้วมีการนำตัว ก.ไป รพ.แพทย์รักษาเบื้องต้นโดยให้น้ำเกลือใส่ท่อช่วยหายใจผ่าตัดใส่ท่อระบายลมในโพรงปอดเพราะมีลมรั่ว แล้วใส่เครื่องช่วยหายใจแพทย์มีความเห็นว่า หากรักษาต่อไปมีโอกาสมีชีวิตรอดมากกว่าตาย แต่ญาติสงสารจึงทำให้การพยาบาลสิ้นสุดด้วยการแอบดึงเครื่องช่วยหายใจดึงท่อช่วยหายใจ แล้วพาผู้ตายกลับบ้าน ก.ตายในคืนนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายหาใช่เป็นผลจากการกระทำของ จล.ไม่ จล.จึงผิด 288+80 ถ้าผลในบั้นปลายเกิดจากการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ของบุคคลที่ 3 ผู้ก่อเหตุในตอนแรกไม่ต้องรับผิดในผลบั้นปลายนั้น
สำนักติวกฎหมายราม 17 -16-
ฎ : 1376/22 การเอาบานประตูของผู้อื่นไปโดยผู้ครอบครองทรัพย์อนุญาตไม่เป็นการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้อื่นอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ฎ : 6207/41 ผู้เสียหายอนุญาตให้ จล.พาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไป จล.ไม่ผิด 317 ว.แรก ไม่ผิดเพราะไม่เป็นการพรากเนื่องจากอนุญาตให้พาไป ตัวอย่าง แดงยอมให้หมอตัดขาก่อนหมอตัดขาได้ให้แดงเซ็น Book ให้ความยินยอมการกระทำของหมอครบองค์ความผิดทั้งภายใน + ภายนอกผิด 297 แต่เหตุที่หมอไม่ต้องรับผิดเพราะแดงให้ความยินยอมและความยินยอมนี้ที่แดงไห้ไว้เพื่อรักษาโรคเป็นเหตุยกเว้นความผิดตาม 297
ฎ : 2154/19 จล.กับพวกก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการชก ก. แล้ววิ่งหนี ก.ไล่ตามต่อเนื่องไปไม่ขาดตอน จล.หันกลับมายิง ก. จล.อ้างป้องกันไม่ได้ ฎ : 2322/22 จล.โต้เถียงกัน ก. และสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน ก.มีมีดในมือจะแทง จล. จล. จึงยิง ก.ตาย จล.อ้างป้องกันไม่ได้
สำนักติวกฎหมายราม 17 -17- ฎ : 528/26 จล. และ ก โต้เถียงกัน การโต้เถียงกันหาใช่เป็นการสมัครใจทำร้ายซึ่งกันและกัน การที่ ก.ใช้ขวานฟัน จล. จึงเป็นภยันตรายอันละเมิดต่อ กม.เป็นภยันตรายที่ใกล้จะ ถึง จล.ใช้มีดแทง ก. ครั้ง จล.อ้างป้องกันได้กรณีสมัครใจวิวาทอ้างป้องกันไม่ได้ ถ้ามีการพลาดไปถูกบุคคลที่ 3 จะอ้างป้องกันไม่ได้เช่นเดียวกัน
ฎ : 1271/13 จล.กับ ก. และคนอื่นอีก 2 คน ร่วมดื่มสุรา จนมึนเมาเกิดทะเลาะวิวาทกัน จล.ถูกตีหัวแตกและ จล.ก็ตี ก. แล้ววิ่งหนีไปได้ 6-7 m แล้วหันมาใช้ปืนยิง ก. ซึ่งถือขวดโซดาตามออกมา การที่ จล.ยิง ก.จะอ้างว่าป้องกันไม่ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันในร้านยังไม่ขาดตอน I I ภยันตรายนั้นต้องใกล้จะถึงถึงจะอ้างป้องกันได้ ภยันตรายที่ใกล้จะถึงนั้นไม่จำเป็นต้องถึงขั้นที่ เป็นความผิดฎ : 2285/28 ก. พูดขอแบ่งวัว กับ จล. จล.ไม่แบ่งให้ชวนให้ไปตกลงที่บ้าน ผญบ, บ้านกำนัน แต่ ก.ไม่ยอม ก.กลับชักปืนออกมา จล.ย่อมเข้าใจว่า ก.จะใช้ปืนยิง จล. จึงเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่ จล.ใช้ปืนยิง ก.ไป 1 นัดเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ฎ : 729/41 จล.ทำร้ายผู้เอาสร้อยคอของ จล.ไป เพื่อติดตามเอาคืนในทันทีทันใด จล.อ้างป้องกันได้ แม้ขณะนั้นความผิดลักทรัพย์จะสำเร็จได้แล้วแต่ถ้าคนร้ายทิ้งทรัพย์ อาจเข้าครอบครองทรัพย์ได้ตามเดิม ถ้าเจ้าทรัพย์ได้คอยซุ่มรอดักดูคนร้ายเพื่อจะทำร้ายคนร้าย อ้างป้องกันไม่ได้
ฎ : 94/92 จล.ถูกนายเล้งเหยียดหยามและข่มเหง ถ้าจะเอาแต่หนีก็จะแสดงความขลาด\ การที่ จล.ใช้สิทธิป้องกัน จล.จึงไม่มีความผิดอ้างป้องกันได้ I I I ผู้กระทำจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตราย นั้น เพื่อป้องกันสิทธิ เป็นมูลเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษในการยกเว้นความผิด จะอ้างป้องกันได้ต้องมีหลักคือ
*****ขาดสิ่งใดก็อ้างป้องกันไม่ได้****** IVการกระทำโดยป้องกันต้องไม่เกินขอบเขต ถ้าเกินขอบเขตอาจเป็นการเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำ เพื่อป้องกันทั้ง 2 กรณี ต่างกันอย่างไร
สำนักติวกฎหมายราม 17 -18- ฎ : 55/30 ผู้ตายบุกรุกเข้าไปฉุดบุตรสาวของ จล.ถึงในบ้าน จล.ซึ่งเป็นแม่เข้าขัดขวาง กลับถูกผู้ตายทำร้ายจนล้มลงและผู้ตายพาบุตรสาว จล.ออกจากบ้านไป จล.จึงใช้ปืนยิงผู้ตาย 4 นัด จล.ทำไปเพื่อช่วยเหลือบุตรของตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า และภยันตรายนั่นยังเกิดขึ้นต่อเนื่องกันอยู่ กรณีไม่มีทางเลือกอื่น \ การยิงเป็นมาตรการที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวในการที่จะช่วยลูกสาวได้4.1.2 การป้องกันต้องได้สัดส่วนกับภยันตรายจึงจะถือว่าพอสมควรแก่เหตุ ฎ : 606/10 ผู้เสียหายเข้ามาชก จล.เมื่อ จล.ล้มลงผู้เสียหายเงื้อมีดจะไปแทง จล. จล.จึงใช้ปืนยิงถือว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ฎ : 2717/28 ผู้ตายถือมีดอยู่ห่าง จล. 2 วา จล.ด่วนยิงผู้ตายทั้งที่ผู้ตายยังไม่อยู่ ในลักษณะจะฟันทำร้าย ถือว่าเกินสมควรแก่เหตุ
ฎ : 1646/14 ผู้ตายเมาเข้าไปพูดต่อว่าพวกของ จล.และเป็นปากเสียงกัน จล.จึงเข้าไปจะดึงพวก จล.ขึ้นรถ ผู้ตายยกมือทำท่าจะต่อย จล. จล.จึงชกไป 1 ที ถูกผู้ตายล้มลงสลบถึงแก่ความตาย กรณีเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ชกต่อชก ได้สัดส่วน แม้ผู้ก่อภัย จะถูกชกล้มลงหัวฟาดพื้นตายก็ตาม ฎ : 617/63 ใช้มีดฟันคนร้ายมีแผล 2 แห่ง ถึงขนาดเป็นอันตรายสาหัส เป็นการป้องกันทรัพย์เกินกว่าเหตุ ฎ : 729/41 ใช้มีดเป็นอาวุธแย่งสร้อยคอจากผู้เสียภายกลับคืนมาเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ถ้าเจ้าทรัพย์เอามีดทางคนร้ายตาย
ฎ : 2066/33 จล.แทงผู้ตายในขณะที่หมดโอกาสทำร้าย จล.แล้วเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
สำนักติวกฎหมายราม 17 -19- + ข้อสังเกต คือ หลักที่ว่า หลักที่ว่าผู้กระทำจะต้องมิได้ก่อเหตุการณ์นั้นขึ้นด้วยความผิดของตนใน 67(2)ไม่มีหลักนี้ /67 (1) ก็ไม่มีหลักเหมือน 67(2) ที่ว่าตนจะต้องมีส่วนผิดในการก่อให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นแต่เป็นที่เข้าใจอยู่ในตัวว่าถ้ากระทำก่อเหตุการณ์ขึ้นด้วยความผิดตนเองก็จะอ้างจำเป็นเพราะถูกบังคับไม่ได้ เพราะตนอาจหลีกเลี่ยงได้โดยไม่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นั้นตั้งแต่แรกตัวอย่าง แดงยั่วยุให้ดำมาขู่ตนให้ไปทำร้ายขาว ดำทนยั่วยุไม่ไหวจึงขู่ทองให้ไปตีหัวขาว แดงอ้างจำเป็น 67(1) ไม่ได้ เพราะตนมีส่วนผิดในการยั่วยุดำ
ป้องกัน/จำเป็นแตกต่างกันคือ ป้องกัน เป็นการกระทำต่อผู้ก่อภัย จำเป็น เป็นการกระทำต่อบุคคลที่ 3 + จำเป็น ตาม ม. 67(2) มีหลัก 6 ข้อคือ
ฎ : 307/89 จล.ไปช่วยงานแต่งงาน มีคนไล่ทำร้าย จล. จล.วิ่งหนีไปทางห้องหอมีคนกั้นไม่ให้จล.เข้า จล.จึงใช้มีดแทงเขาตาย จล.อ้างจำเป็น ว่า จล.ถูกไล่ทำร้ายมีผู้กั้น จล.อาจใช้กำลังฝืนผ่านไปได้แต่ จล.แทงเขาตาย ถือว่าเป็นการกระทำโดยจำเป็นเกินสมควรกว่าเหตุ สำนักติวกฎหมายราม 17 -20- มาตรา 72 มีหลัก 3 ข้อ
ฎ : 1776/18 จล.ก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการเปิดน้ำในนาของผู้ตายจนนาแห้งเพื่อนำน้ำเข้าไปใช้ในนาของ จล. ผู้ตายมาด่าและท้า จล. จล.ทำร้ายผู้ตายศาลฎีกาว่า จล.จะอ้างบันดาลโทสะไม่ได้เพราะ จล.เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน
ฎ : 2457/15 อ้างจำเป็นก็ไม่ได้ เพราะ 67(2) ห้ามไม่ใช้อ้างเนื่องจากภยันตราย เกิดขึ้นด้วยความผิดของตน อ้างบันดาลโทสะก็ไม่ได้
ฎ : 863/02 ทำอนาจารภรรยาถือว่าข่มเหงสามีเท่านั้นไม่เป็นการข่มเหงเพื่อนของสามี แม้จะเป็นเพื่อนสนิทของสามีก็ตาม
ฎ : 147/83 แดงแทงดำบาดเจ็บดำรู้ตัวทันทีว่าถูกแทงมีแผลที่ปากแต่ดำยังไม่เกิดโทสะ ต่อมาเมื่อกลับถึงบ้านดำมาส่องกระจกดูเห็นปากแหว่งจึงเกิดโทสะและใช้มีดไล่ฟันแดง กรณีอ้างบันดาลโทสะไม่ได้เพราะจะอ้างได้ต้องอ้างขณะที่รู้ตัวว่าถูกแทงมีแผลที่ปากต้องอ้างตอนนั้นไม่ใช่มาอ้างตอนหลัง สำนักติวกฎหมายราม 17 -21- ฎ : 1260/23 ในขณะนั้นไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นขณะเดียวกับการข่มเหงแต่ขอให้เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดในขณะที่มีโทสะรุนแรงอยู่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ฎ : 1704/18 ถ้าขาวบุตรของแดงพัวพันอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะแดงยิงดำ ขาวเป็นผู้ข่มเหงด้วย ฉะนั้นถ้ายิงขาวก็อ้างบันดาลโทสะได้
ฎ : 1092/31 ผู้เสียหายไม่พอใจและโต้เถียงกับ จล.ในเรื่องที่ จล.ชักชวนผู้อื่นไปเล่นไพ่ที่บ้าน จล.และใช้สันมีดตีหัว จล.ก่อน จล.แย่งมีดจากผู้เสียหายได้ ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีท่าที่จะทำร้าย จล.อีกแสดงว่าภยันตรายที่ จล.ได้รับนั้นผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้นอีก การที่ จล.ใช้มีดฟันผู้เสียหาย 4 แห่ง ถือไม่ได้ว่าเป็นการป้องกัน แต่การที่ผู้เสียหายไม่พอใจ จล.ใช้มัดตีหัว จล.ก่อน ถือว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อ จล.แย่งมีดมาฟันผู้เสียหาย จล.จึงอ้างบันดาลโทสะได้ # # ข้อแตกต่างระหว่างป้องกัน/จำเป็นป้องกัน กระทำต่อผู้ก่อภัย จำเป็น กระทำต่อบุคคลที่ 3
สำนักติวกฎหมายราม 17 -22- เพราะเหลืองไม่ใช่ผู้ก่อภัย แต่แดงต้องยิงมาเพื่อให้ตนพ้นภยันตรายจากการที่จะถูกแดงยิง ดำจึงอ้างจำเป็นต่อเหลืองได้ ส่วน 67(2) เจตนาพิเศษคือ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นภยันตราย การกระทำโดยจำเป็น โดยหลักเป็นการกระทำต่อบุคคลที่ 3 ซึ่งไม่มีส่วนผิดในการก่อภัย ผู้กระทำต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้พันภยันตรายโดยวิธีอื่นก่อน จำเป็น - โดยหลักเป็นการกระทำต่อบุคคลที่ 3 ซึ่งไม่มีส่วนผิดหากภยันตรายร้ายแรงพอกัน ต้องถือว่าเกินสัดส่วนและเกินสมควรแก่เหตุอย่างไรก็ตาม หากเป็นการกระทำต่อผู้ก่อภัยซึ่งไม่ได้ละเมิดต่อ กม. อาจถือว่าได้สัดส่วนได้ # # ข้อแตกต่างและข้อเหมือนระหว่างป้องกัน/บันดาลโทสะ ข้อแตกต่างบันดาลโทสะ เหตุอันไม่เป็นธรรม อาจเกิดจากการละเมิด กม.หรือไม่ก็ได้ แม้ไม่ถึงขั้นละเมิด กม. ก็อ้าง 72 ได้
บันดาลโทสะเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหง สำนักติวกฎหมายราม 17 -23-
ฎ : 5/29 - แต่ถ้าจ้องปืนขู่แล้วผู้เสียหายกลัว จล.ผิด 392 (ฎ: 1389/29, 6496/41) ฎ : 1203/91 คำว่าลงมือจะต้องเป็นการกระทำที่ได้กระทำจนใกล้ชิดกับผลสำเร็จอันพึงเห็นได้ประจักษ์แล้ว * หลักความใกล้ชิดต่อผล ® ถ้าผู้กระทำได้กระทำขั้นสุดท้ายซึ่งจำต้องกระทำเพื่อให้ความผิดสำคัญถือว่าใกล้ชิดต่อผล
ฎ : 2143/36 เอายาเบื่อใส่โอ่งน้ำดื่มของผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายทรายก่อนจึงไม่ยอมดื่ม ผิด 289+80, 236 ตัวอย่าง การฆ่าขั้นสุดท้ายจริง ๆ คือ ลั่นไกปืน แต่เขยิบมาอีกนิด ก่อนลั่นไก คือการจ้องเล็งปืนก็ถือว่าเป็นการลงมือแล้ว
ฎ : 7562/40 ศาลฎีกากล่าวว่าการกระทำของ จล.ทั้ง 2 ถือว่าได้เป็นการกระทำที่ล่วงไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการทำธนบัตรของกลางไปแจกจ่ายให้แก่ผู้เลือกตั้งเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่เกิดขี้นแล้ว ฎ : 147/07, 1746/18, 1765/21, 556/02 แม้ไม่ได้ความว่าปืนขึ้นนกนิ้วอยู่ที่ปืนก็ตาม ถือว่าเป็นลงมือฆ่าแล้ว ถ้ามีเจตนาฆ่าเมื่อมีการจ้องหรือเล็งปืนไปยังผู้เสียหาย ฎ : 1120/17 ชัดอาวุธปืนออกมาจากเอวและกระชากลูกเลื่อนเพื่อให้กระสุนเข้าลำกล้อง แต่ตร.วิ่งเข้ามาขวางมิให้จล.กระชากลูกเลื่อนได้และแย่งปืนจาก จล.ไป จึงยังไม่ผิด พยายามฆ่า
ฎ : 1746/17 ยกปืนจ้องไปทางผู้เสียหายจะยิงแต่มีผู้มาห้ามไว้ทันเป็นพยายามฆ่าแล้ว ฎ : 864/02 จล.ใช้ปืนยิงไปยังผู้เสียหายแล้วแต่กระสุนไปถูกผู้เสียหายถือว่ากระทำไปตลอดแล้วแต่ไม่บรรลุผล
สำนักติวกฎหมายราม 17 -24- + พยายามซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ม.81
+ ความแตกต่างของ 80/81 อยู่ตรงที่ว่า
ฎ : 980/62 จล.ใช้ปืนที่มีกระสุนบรรจุอยู่ 7 นัด ยิงผู้เสียหาย นัดแรกด้านอาจเป็นเพราะกระสุนเสื่อม, บังเอิญมิฉะนั้น กระสุนต้องระเบิดออกอาจเกิดอันตรายแก่ผู้เสียหายได้ กรณี เข้า 80 ไม่ใช่ 81 เพราะหาเป็นการแน่แท้ว่าจะไม่สามารถกระทำให้ผู้ถูกยิงได้รับอันตรายจากการยิงของจำเลย
ฎ : 1446/13 ใช้ปืนยิงไปที่ห้องที่ผู้เสียหายเคยนอน ผู้เสียหายรู้ตัวล่วงหน้าเลยหลบไปนอนอีกห้อง กรณีเข้า 80 ฎ : 980/02 ฆ่าคนโดยเจตนาฆ่า แต่ใช้ปืนซึ่งไม่รู้ว่าไม่มีลูกเล็งไปยังผู้เสียหายเข้า 81* ต้องไม่รู้ว่าไม่มีลูก ถ้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีลูกก็ไม่เป็นทั้ง 80, 81 เพราะไม่มีเจตนาฆ่า
ฎ : 107/10} 1361/14} 281/17 ถ้าเป็นวัตถุระเบิดกำลังอ่อน/ลูกระเบิดกำลังอ่อนเป็นกรณี 81 + รวมถึงปืนกำลังอ่อนด้วย + เรื่องยับยั้งหรือกลับใจ ตาม ม.82 มีหลัก 4 ข้อ
ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำ แดงชักปืนมาจะยิงดำแต่แดงเกิดสงสารโยนปืนทิ้งไม่เข้า 82 เพราะเข้า 82 ต้องเล็งแล้วสงสาร
สำนักติวกฎหมายราม 17 -25- ฎ : 508/29 จล. ท้าทายนายแดงให้มาสู้กันและวิ่งไล่แทงจนถึงหน้าบ้านแดงจึงหยุดไล่ ต่อมาจล.ถือปืนเมื่อใกล้ถึงตัวแดงก็จ้องปืนมายังแดงโดยนิ้วสอดเข้าในโกร่งไกปืน แดงวิ่งหนี แต่ จล.ไม่ได้วิ่งตาม กลับเอาปืนมาจ้องดำแทน ทั้งที่มีโอกาสยิงแดงได้จึงเป็นการยับยั้งเสียเองไปกระทำการให้ตลอดเมื่อ จล.จ้องปืนไปที่ดำ ดำบอกว่าไม่เกี่ยวเดินหลบไป จล.ก็เดินไปอีกทางโดยไม่ตามไปยิงดำทั้งที่มีโอกาสยิงจึงเป็นการยับยั้งเสียเองฎ : 3688/41 จล.ใช้มีดแทง ก.หลายครั้งถือว่าเจตนาฆ่า จล.ได้กระทำผิดไปโดยตลอดแล้วการที่ จล.ไม่แทงซ้ำอีกและพาไปหาหมอ หาใช่เป็นการยับยั้งหรือการกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำบรรลุผล 4. การยับยั้ง, กลับใจ, แก้ไข ต้องเกิดขึ้นโดยความสมัครใจ เป็นเหตุให้การกระทำไม่บรรลุผล
มีหลักเกณฑ์ข้อสังเกต คือ
ฎ : 3105/41 จล.ที่ 3 เป็นผู้วางแผนให้ จล.ที่ 2 กับพวกอีก 2 คนไปปล้นโดยไม่ปรากฏว่า จล.ที่ 2 กับพวกคิดจะปล้นอยู่ก่อนแล้วถือว่า จล.3 เป็นผู้ใช้
5. ผู้ใช้ผู้สนับสนุนที่กลายเป็นตัวการจะผิดตัวการเพียงอย่างเดียว การเป็นผู้ใช้, ผู้สนับสนุนเกลื่อนกลืนมารวมเป็นกรรมเดียวกับการเป็นตัวการ ฎ: 185/20
ฎ : 559/41 จล.ร่วมกับพี่ชายของจำเลยทำร้ายผู้ตาย จล.เป็นคนแทง พี่ชายเป็นคนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ทั้ง 2 เป็นตัวการร่วมกัน สำนักติวกฎหมายราม 17 -26- ฎ : 1478/27 แดงทะเละวิวาทและชกต่อยกับดำ แต่สู้ไม่ได้จึงไปเรียกขาวกับเหลืองมาช่วย ขาวกับเหลืองรุมชกดำจนดำยอมแพ้แต่ขาวกับเหลืองยังคงใช้ไม้ตีดำต่อไป แดงเห็นว่าแรงไปจึงห้าม หลังจากนั้นดิ่งหนีเหลืองกับขาววิ่งไล่ตีดำจนตาย ขาวกับเหลืองผิด 290 แต่แดงผิด 295 เพราะการที่แดงเห็นว่าแรงไปจึงห้ามถือว่าเป็นการที่แดงยุติการเป็นตัวการร่วมกับขาวและเหลืองแล้ว 1. ผู้ใช้ต้องมีเจตนากระทำความผิด 2. ผู้ใช้ต้องมีเจตนาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด 3. ผู้ถูกใช้ต้องมีเจตนากระทำความผิด ฎ : 382/12 การพูดให้ผู้ลงมือเร้าใจมีกำลังใจกระทำ ฎ : 757/28 การพาผู้หญิงมาให้เพื่อนข่มขืน แต่ขณะข่มขืนตนไม่อยู่ด้วยฎ : 5731/41 การช่วยเหลืออาจทำโดยการนัดหมายก็ได้
****************************************************************************
ขอให้โชคดีในการสอบครับ (GOOD LUCK) ติวเตอร์หมี นิติศาสตรบัณฑิต, เนติบัณฑิต
|