logo1.gif.GIF (6998 bytes)             en5.gif (7223 bytes)

                             โรคภูมิแพ้

               ในปัจจุบันเป็นยุคอุตสาหกรรมทำให้อากาศเต็มไปด้วยมลภาวะมากมาย ดังนั้นคนในยุคนี้จึงเป็นโรค

ทางเดินหายใจกันมาก     โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคภูมิแพ้  คนไทยเป็นโรคภูมิแพ้กันประมาณ20-30%    มีทั้งคนที่

เป็นเล็กน้อยจนถึงคนที่เป็นมากจนต้องพบแพทย์เป็นประจำ

              โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดขึ้นเองไม่มีการติดต่อเพราะไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคแต่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

คือถ้าพ่อหรือแม่เป็นลูกก็มีโอกาสเป็นภูมิแพ้มากขึ้น      โรคนี้มีอาการเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยได้รับสารก่อภูมิแพ้(Antigen)  

อากาศเปลี่ยนแปลง    บางคนจะมีอาการมากช่วงอากาศเย็นๆ   บางคนมีอาการมากเวลาอากาศชื้นๆหรือฝนตก

              สารก่อภูมิแพ้ได้แก่ฝุ่นละอองตามบ้าน ไรฝุ่นมักพบในที่นอนที่เป็นนุ่นกากมะพร้าวและในพรม   นุ่น  

ขนสัตว์(Fur) เกษรดอกไม้(Pollen)   หญ้าบางชนิดเช่นหญ้าแพรก หญ้าแห้วหมู  ฟางข้าว  ควันบุหรี่   ควันไฟ 

แมลงสาบ       เชื้อรา   อาหารบางชนิดเช่นอาหารทะเล ไข่ นม ถั่ว   เนื้อวัว  เนื้อไก่   และอื่นๆอีกมากมาย     

pollen.JPG (24659 bytes) fur.jpg (11666 bytes)

              หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับสารก่อภูมิแพ้(ทางการหายใจ   การสัมผัสด้วยผิวหนังหรือการกิน)แล้วร่างกาย

จะสร้างสารภูมิต้าน(Antibody)ขึ้นมา   สารนี้มี2ชนิดคือชนิดดี(IgG)และชนิดไม่ดี(IgE) แต่สารชนิดไม่ดีจะมีมากกว่า

และสร้างได้เร็วกว่า     ส่วนสารชนิดดีต้องใช้เวลานานอย่างน้อย1สัปดาห์ในการสร้าง  และสารชนิดไม่ดีนี่เองที่ทำให้

เกิดอาการแพ้     เมื่อสารตัวนี้กระจายไปทั่วร่างกายและทำให้มีอาการแพ้ที่อวัยวะเป้าหมายเช่น ภูมิแพ้จมูก 

ปอด(หอบหืด)    ผิวหนัง(ผื่นคัน ลมพิษ)    คอ(เจ็บคอเรื้อรัง)

              อาการ ทางหู คอ จมูกคือคันหู  คันตา  คันจมูก จาม  น้ำมูกใส เสมหะไหลลงคอ   เจ็บคอเรื้อรัง

รู้สึกมีเสมหะติดคอ

การรักษา      *ที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้(Antigen)

                      *การกินยาส่วนมากจะเป็นการกินยาเพื่อบรรเทาอาการหรือเพื่อป้องกัน

                      *ยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคภูมิแพ้ให้หายขาดได้   แต่ก็ควรต้องรักษาเพื่อให้ไม่มีอาการ

                       *ส่วนมากยาที่ใช้จะเป็นกลุ่มยาแก้แพ้(Antihistamine)

                   ปัจจุบันยากินที่ใช้มีอยู่3กลุ่มใหญ่คือ

1.ยาแก้แพ้ทั่วไปได้แก่  CPM,Bromphenilamine,Triprolidine,Diphenhydramineยาประเภทนี้มีข้อดีคือออกฤทธิ์เร็ว

ได้ผลดี   ข้อเสียคือกินแล้วง่วงมากและถ้ากินติดต่อกันนานๆอาจดื้อยา     

2.ยาแก้แพ้แบบไม่ง่วงได้แก่   Loratadine,Cetirizine,Astemizol   ยากลุ่มนี้ข้อดีคือกินแล้วไม่ง่วงสามารถทำงานหรือ

เรียนหนังสือได้ตามปกติ และยาออกฤทธิ์นานกินยาเพียงวันละ1-2เม็ด   แต่ก็มีข้อเสียคือยาออกฤทธิ์ช้า

อาจใช้เวลา1-72ชั่วโมง   และประสิทธิภาพสู้ยาแก้แพ้ทั่วไปไม่ได้

3.สเตียร์รอยด์   ถือว่าเป็นยาอันตรายต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

                ยารักษาโรคภูมิแพ้ชนิดพ่นจมูก   ปัจจุบันมี4กลุ่มคือ

             1.ยาพ่นเพื่อลดอาการคัดจมูกที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไปได้แก่ยาพ่นที่มียากลุ่มDecongestantเช่น

Phenylephrine  HCL,  Pseudoephedrine  HCL, Ephidine เป็นส่วนประกอบซึ่งยากลุ่มนี้อันตรายเพราะทำให้

เกิดการติดยาพ่นทางจมูก ทำให้เยื่อบุจมูกเสีย ทำให้เกิดโรคไรไนติส เมดดิกาเมนโตสา(Rhinitis Medicamentosa)

ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยาตัวนี้เด็ดขาด

         2.ยาพ่นเพื่อรักษาภูมิแพ้    กลุ่มยาพ่นสเตียร์รอยด์ ถ้าใช้ถูกวิธีจะได้ผลดีมากและไม่เป็นอันตรายเพราะ

มีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดน้อยมาก     ที่สำคัญยาชนิดนี้ใช้รักษาได้ทั้งภูมิแพ้และโรคไรไนติส เมดดิกาเมนโตสา

(Rhinitis  medicamentosa)ได้   เป็นยาที่รักษาภูมิแพ้ที่ดีที่สุดในตอนนี้แต่ข้อเสียคือราคาแพง   ออกฤทธิ์ช้า

(ประมาณ1-3วันเริ่มรู้สึกว่าดีขึ้น)ตัวอย่างเช่นBudesonide,Beclomethasone dipropinate,Mometasone furoate

Back.gif (3658 bytes) curtain-home-motion2-whit.gif (21453 bytes) Arrowupbg.gif (2684 bytes)